วันเสาร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ภัยผิวที่แฝงมากับฤดูฝน

ด้วยสภาพอากาศที่ฝนตกชุกในช่วงนี้ ภาวะหนึ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยากเมื่อฝนตกคือมักเจอกับอากาศที่อับชื้น ทำให้บางครั้งอาจเกิดผื่นแปลกๆ ขึ้นบนผิวหนังได้ ปัญหาที่พบได้เสมอในช่วงหน้าฝนมักมีสาเหตุมาจากเชื้อรา เนื่องจากลักษณะเฉพาะของเชื้อโรคกลุ่มนี้ที่เจริญเติบโตได้ดีในภาวะที่ชื้นแฉะ ผื่นจากเชื้อรามีได้หลากหลายรูปแบบ เรามาดูผื่นที่พบได้บ่อยๆ กันดีกว่าวงด่างๆ สีขาวหรือสีเนื้อ ในบางคนอาจขึ้นเป็นวงสีน้ำตาล ร่วมกับมีขุยสีขาวเล็กๆ มักเกิดขึ้นบนผิวหนังบริเวณหน้าอกและลำตัว อาจมีอาการคันร่วมด้วยได้ นอกจากดูไม่สวยงามแล้วยังทำให้เสียบุคลิก ผื่นชนิดนี้เป็นลักษณะของโรคเกลื้อน ซึ่งพบได้บ่อยในเด็กและวัยรุ่นที่สุขอนามัยไม่ค่อยดี ไม่ชอบอาบน้ำ เชื้อเกลื้อนเป็นเชื้อราชนิดหนึ่งที่เรียกว่า Malassezia furfur สามารถพบได้บนผิวหนังของคนทั่วไป แต่ปกติแล้วไม่ก่อโรค ยกเว้นในสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสม เช่น คนที่ออกกำลังกาย เหงื่อออก หรือตากฝน แล้วไม่ยอมอาบน้ำ ร่างกายชื้นแฉะอยู่เป็นเวลานาน ทำให้เชื้อเพิ่มจำนวนจนทำให้เกิดผื่นลักษณะดังกล่าวขึ้นในคนที่น้ำหนักมาก หรือภูมิคุ้มกันไม่ค่อยดี เช่น ผู้ที่เป็นเบาหวาน อาจเกิดผื่นสีแดงขึ้นตามบริเวณข้อพับ เช่น รักแร้ ขาหนีบ หรือใต้ราวนม ร่วมกับมีอาการคันมาก สาเหตุเกิดจากการติดเชื้อยีสต์ในกลุ่มแคนดิดา (Candida) สามารถรักษาให้หายได้โดยการทายาฆ่าเชื้อราทั่วไป แต่มักเป็นซ้ำได้บ่อย เพราะยีสต์ชนิดนี้พบได้ในร่างกายของคนเรา เช่น บริเวณช่องปาก ระบบทางเดินอาหาร และช่องคลอด
ช่วงที่ฝนตกมากๆ บางพื้นที่อาจมีน้ำท่วมขัง หรือเวลาฝนตกนานเป็นชั่วโมงๆ ทำให้ต้องเดินย่ำน้ำชื้นแฉะเป็นเวลานานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และหากยังไม่รีบทำความสะอาดเท้า ผ่านไปสักระยะหนึ่งอาจพบว่าผิวตามซอกนิ้วเท้าลอกเป็นขุยขาวๆ หรือเปียกยุ่ย หรืออาจถึงขั้นเป็นแผล มีน้ำเหลืองแฉะที่ผิว เรียกว่าโรคน้ำกัดเท้าหรือเชื้อราที่เท้า เกิดจากเชื้อกลากซึ่งอยู่ตามสิ่งแวดล้อม เช่น หิน ดิน ทราย รวมทั้งในสัตว์เลี้ยง เช่น สุนัขและแมว ผื่นที่เท้าอาจจะลามไปที่ลำตัวส่วนอื่นได้ ที่พบบ่อยคือทำให้เกิดผื่นบริเวณขาหนีบ เรียกว่า สังคังเวลาถอดรองเท้า บางคนอาจมีกลิ่นเหม็นโชยออกมา เมื่อก้มดูที่ฝ่าเท้าจะเห็นเป็นรูพรุนเล็กๆ หรือเป็นแอ่งเว้าแหว่งตื้นๆ เรียกว่า โรคเท้าเหม็น สาเหตุเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่ง มักพบในผู้ชายที่ใส่ถุงเท้าที่ทำจากใยสังเคราะห์หนาๆ ซึ่งมักจะแห้งยากในหน้าฝนนอกจากนี้ ในน้ำที่ขังตามพื้นถนนอาจมีพยาธิบางชนิด เช่น พยาธิปากขอซึ่งสามารถชอนไชเข้าสู่ผิวหนังได้โดยตรง ทำให้เกิดโรคโลหิตจางได้ หรือ ถ้าโชคไม่ดี ได้รับเชื้อที่ทำให้เกิดโรคฉี่หนูเข้าไปตามรอยแผลเล็กๆ ที่เท้า อาจถึงขั้นเสียชีวิตได้โดยสรุปแล้ว ถ้าสังเกตให้ดี จะเห็นว่าสาเหตุของโรคส่วนใหญ่มาจากการย่ำน้ำสกปรก หรือปล่อยให้ผิวหนังอับชื้นอยู่เป็นระยะเวลานาน ทำให้เชื้อซึ่งพบได้ตามสิ่งแวดล้อมทั่วไปเพิ่มจำนวนขึ้นจนก่อให้เกิดโรค ดังนั้นการป้องกันอันดับแรกคือหลีกเลี่ยงการเหยียบย่ำน้ำ หรือตากฝน ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อกลับถึงที่พัก ควรรีบถอดเสื้อผ้า แล้วอาบน้ำทำความสะอาดร่างกาย โดยใช้สบู่หรือสารทำความสะอาดทั่วไป ไม่จำเป็นต้องใช้น้ำยาฆ่าเชื้อชนิดพิเศษแต่อย่างใดเพราะอาจแรงเกินไป เสร็จแล้วใช้ผ้าซับหรือใช้พัดลมเป่าให้แห้ง การโรยแป้งฝุ่นสามารถช่วยลดความชื้นและการเสียดสีได้ เสื้อผ้าและถุงเท้าที่ใช้ ควรทำจากวัสดุธรรมชาติ เช่น ผ้าฝ้ายที่ไม่หนาจนเกินไปเพื่อให้ระบายอากาศได้ดี หน้าฝนผ้ายีนส์จะแห้งยากทำให้เกิดความอับชื้นได้ง่ายจึงควรระวังเป็นพิเศษ นอกจากนี้แล้วการใส่รองเท้าแตะบ้างก็ช่วยลดโอกาสการติดเชื้อราที่เท้าได้เช่นกัน

วันเสาร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ทานฟาสต์ฟู้ดบ่อยเกินไป อาจทำให้คะแนนสอบ

การทานอาหารฟาสต์ฟู้ดมากเกินไปไม่เพียงแค่ทำให้น้ำหนักตัวมากเกินไปเสียแล้วแต่ยังทำให้ผลคะแนนสอบต่ำลงด้วย จากงานวิจัยของคณะนักวิจัยมหาวิทยาลัยแวนเดอบิลท์ ที่รัฐเทนเนสซี ที่ทำการศึกษากับนักเรียนชั้นประถมศึกษาจำนวน5,500 คน โดยการติดตามพฤติกรรมการกินของเด็กนักเรียน อายุ 10-11 ขวบแล้วเปรียบเทียบกับผลการทดสอบวิชาการอ่าน และวิชาคณิตศาสตร์
ในภาพรวมเด็กนักเรียนจะทำคะแนนในการทดสอบได้ระหว่าง 58-181 คะแนนซึ่งมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 141.5 คะแนน เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับจำนวนครั้งที่ทานฟาสต์ฟู้ดพบว่า นักเรียนเกินกว่าครึ่งที่ทานฟาสต์ฟู้ดมากกว่า 3 ครั้งใน 1 สัปดาห์ก่อนสอบได้คะแนนสอบต่ำกว่าค่าเฉลี่ย ดังนี้ คนที่ทาน 4-6 ครั้งต่อสัปดาห์ ทำคะแนนสอบได้ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยประมาณ 7 คะแนน, คนที่ทาน 1 ครั้งต่อวัน ทำคะแนนสอบได้ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 16 คะแนน และคนที่ทาน3 ครั้งต่อวัน ทำคะแนนสอบต่ำลงถึง 19 คะแนน จากงานวิจัยครั้งนี้จึงสรุปได้ว่าการทานฟาสต์ฟู้ดที่บ่อยมากขึ้นนั้น มีความสัมพันธ์กับการที่คะแนนสอบต่ำลง
แม้ว่างานวิจัยนี้จะไม่ได้วิจัยถึงผลกระทบต่อสมองโดยตรง เพียงแต่วัดจากคะแนนทำสอบ และความบ่อยในการทานฟาสต์ฟู้ดเท่านั้น แต่เพื่อความไม่ประมาทควรทานอาหารที่มีคุณค่าในแต่ละวันให้ได้สารอาหารครบ 5 หมู่ เพื่อประโยชน์สูงสุดต่อระบบการทำงานของร่างกาย

วันเสาร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ดื่มไวน์ป้องกันฟัน


เคยรู้กันว่าดื่มไวน์ช่วยลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง และโรคหัวใจ แต่ข้อมูลจากงานวิจัยของ ศ.กาเบรียลลา กาซซานี(Gabriella Gazzani)มหาวิทยาลัยพาเวีย(University of Pavia) ประเทศอิตาลี ในวารสารAmerican Journal of Agricultural and food Chemistry พบว่าการดื่มไวน์ขาว หรือไวน์แดงวันละ 1 แก้วเป็นประจำ จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดฟันผุ โรคเหงือก และช่วยรักษาอาการเจ็บคอ
เนื่องจากส่วนผสมในไวน์จะทำหน้าที่เปรียบเสมือนตัวยับยั้งไมโครแบคทีเรียประเภท Streptococci ซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดฟันผุ และแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในช่องทางเดินหายใจ และยังช่วยยับยั้งการเติบโตของเชื้อแบคทีเรียชื่อ S.pyogenes ที่อาศัยอยู่ในช่องทางเดินหายใจ ซึ่งสามารถก่อให้เกิดอาการเจ็บคอและเป็นไข้ได้

วันพุธที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2552





ถ้าบอกว่ามีสีเขียวทั้งเผ็ดและฉุนขึ้นจมูก ใช้รับประทานคู่กับปลาดิบ คุณคงต้องนึกถึงวาซาบิเป็นแน่ บางคนอาจจะร้องยี้ด้วยไม่ชอบรสชาติของมัน แต่รู้หรือไม่ว่าในความฉุนหรือเผ็ดนั้นมีคุณประโยชน์แฝงอยู่มากมาย สารในวาซาบิที่ให้รสเผ็ดและกลิ่นฉุนนั้น มีสรรพคุณในการยับยั้งการเจริญเติบโต ของจุลินทรีย์ ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดฟันผุ และยังพบสาร Isothiocyanate (ITCs) ซึ่งมีส่วนช่วยการยับยั้งการเจริญเติบโตของเอ็นไซม์ ที่ก่อให้เกิดหินปูนบนฟัน และยังมีฤทธิ์ต้านมะเร็งที่ปอด ลำไส้ใหญ่ ตับ หลอดอาหารและเต้านม อีกด้วย

วันจันทร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2552








ผลการศึกษาหลายฉบับเมื่อไม่นานมานี้แนะว่า การบริโภคกาแฟในปริมาณที่พอเหมาะให้ผลดี ดังตัวอย่างเช่น.. งานวิจัยซึ่งตีพิมพ์ในวารสารสมาคมแพทย์อเมริกาพบว่าคนที่ดื่มกาแฟวันละ 3 แก้ว มีโอกาสเกิดโรคพาร์คินสันน้อยลงถึง 5 เท่า
การศึกษาของวิทยาลัยสาธารณสุขฮาร์วาร์ดพบว่า ผู้ชายที่ดื่มกาแฟเกินวันละ 6 แก้วลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้ราวร้อยละ 50 ขณะความเสี่ยงนี้ในผู้หญิงลดลงเกือบร้อยละ 30
สถาบันมะเร็งของญี่ปุ่นกล่าวว่าการดื่มกาแฟวันละ 3 - 4 แก้ว อาจลดความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งตับลงถึงครึ่งหนึ่ง
แต่สมาคมโรคเบาหวานอังกฤษเตือนว่าอย่าดื่มเกินกว่านี้เพราะการดื่มมากเกินไปอาจทำให้คุณรู้สึกกระวนกระวาย นอนไม่หลับ และหญิงตั้งครรภ์ไม่ควรดื่มเกินวันละ