วันจันทร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2553

^_^...Foie gras .....อาหารฝรั่งเศส




ฟัวกราส์(ฝรั่งเศส: Foie gras [fwɑ gʁɑ]) แปลเทียบเคียงว่า fat liver คือตับห่านหรือเป็ดที่ถูกเลี้ยงให้อ้วนเกิน ฟัวกราส์ได้ชื่อว่าเป็นอาหารฝรั่งเศสที่ดีที่สุด เช่นเดียวกับทรัฟเฟิล มีลักษณะนุ่มมันและมีรสชาติที่แตกต่างจากตับของเป็ดหรือห่านธรรมดา

ใน พ.ศ. 2548 ทั่วโลกมีการผลิตฟัวกราส์ประมาณ 23,500 ตัน ในจำนวนนี้ ประเทศฝรั่งเศสเป็นผู้ผลิตมากที่สุดคือ 18,450 ตัน หรือร้อยละ 75 ของทั้งหมด โดยร้อยละ 96 ของฟัวกราจากฝรั่งเศสมาจากตับเป็ด และร้อยละ 4 มาจากตับห่าน ประเทศฝรั่งเศสบริโภคฟัวกราส์ใน พ.ศ. 2548 เป็นจำนวน 19,000 ตัน[1]

ประเทศฮังการีผลิตฟัวกรามากเป็นอันดับสอง และส่งออกมากเป็นอันดับหนึ่ง คือ 1,920 ตันใน พ.ศ. 2548 โดยเกือบทั้งหมดส่งออกไปที่ฝรั่งเศส


การป้อนอาหาร ในการผลิตฟัวกราส์ (เรียกขั้นตอนนี้ว่า gavage)
ฟัวกราส์ เทียบกับตับห่านปกติองค์การสิทธิสัตว์ทุกแห่ง และองค์การความเป็นอยู่สัตว์เกือบทุกแห่ง ถือว่าขั้นตอนการผลิตฟัวกราส์นั้นโหดร้าย เนื่องจากการบังคับป้อนอาหาร และผลกระทบต่อสุขภาพจากตับที่ใหญ่ขึ้น

การผลิตฟัวกราส์นั้นผิดกฎหมายในหลายพื้นที่ (แต่การจำหน่ายฟัวกราส์ที่ผลิตจากที่อื่นนั้นไม่จำเป็นว่าต้องผิดกฎหมาย) ได้แก่

-นอร์เวย์
-เนเธอร์แลนด์
-เดนมาร์ก
-โปแลนด์ (เคยเป็นผู้ผลิตอันดับ 5 ของโลก เมื่อ พ.ศ. 2542)
-ฟินแลนด์
-เยอรมนี
-ลักเซมเบิร์ก
-สวิตเซอร์แลนด์
-สวีเดน
-สหรัฐอเมริกา: เมืองชิคาโก มลรัฐแคลิฟอร์เนีย (เริ่ม พ.ศ. 2555)
-สหราชอาณาจักร
-สาธารณรัฐเช็ก
-ออสเตรีย (6 ใน 9 รัฐ)
-อาร์เจนตินา
-อิตาลี
-อิสราเอล
-ไอร์แลนด์

"ปาเต"อาหารฝรั่งเศส



ปาเต (ฝรั่งเศส: pâté) เป็นอาหารยุโรปประเภทหนึ่ง ในภาษาฝรั่งเศสหมายถึงเนื้อบดผสมไขมัน ปาเตโดยทั่วไปมีลักษณะเป็นซอสสำหรับทา ทำจากเนื้อบดละเอียดหรือส่วนผสมของเนื้อและตับบดหยาบ ๆ และมักผสมไขมัน ผัก สมุนไพร เครื่องเทศ หรือไวน์ เป็นต้น

ในประเทศฝรั่งเศสและประเทศเบลเยียม ปาเตอาจใช้เป็นไส้พายหรือขนมปังแถว เรียก "ปาเตอ็องกรูต" (ฝรั่งเศส: pâté en croûte) หรือใช้อบด้วยแตร์รีนหรือแม่พิมพ์แบบอื่น เรียก "ปาเตอ็องแตร์รีน" (ฝรั่งเศส: pâté en terrine) ปาเตประเภทที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ "ปาเตเดอฟัวกราส์" (ฝรั่งเศส: pâté de foie gras) ทำจากตับของห่านที่ขุนจนอ้วน คำว่า "ฟัวกราส์อองตีเยร์" (ฝรั่งเศส: foie gras entier) หมายถึง ตับห่านธรรมดาที่ได้รับการปรุงสุกและหั่นเป็นแผ่น ไม่ใช่ปาเต

ส่วนในประเทศฮอลแลนด์ ประเทศเยอรมนี ประเทศฟินแลนด์ ประเทศฮังการี ประเทศสวีเดน และประเทศออสเตรีย ปาเตที่ทำจากตับบางชนิดจะมีลักษณะอ่อนยวบ โดยมากเป็นไส้กรอกที่ใช้ทาได้ ภาษาดัตช์เรียก "leverworst" ภาษาเยอรมันเรียก "leberwurst" ส่วนในประเทศอเมริกาเรียก "ลีเวอร์วูสต์" (liverwurst) หรือ "โบรนชวีเจอร์" (braunschweiger) ลีเวอร์วูสต์บางชนิดหั่นได้ ซึ่งในอเมริกานิยมใช้รับประทานคู่กับแซนด์วิช

^^+Ratatouille++


ราตาตุย (ฝรั่งเศส: Ratatouille, ออกเสียง: [ʁatatuj]; ออกเสียงอังกฤษ: /rætəˈtuːiː/, /-ˈtwiː/ - แรททะทูอี, แรททะทฺวี) เป็นอาหารพื้นเมืองของทางตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศส โดยมีลักษณะเป็นสตูว์ผัก มีต้นกำเนิดมาจากเมืองนีซ อาหารชนิดนี้มีชื่อเต็มว่า ราตาตุยนีซวส (ratatouille niçoise)[1]

รูปแบบของอาหาร
คำว่า ratatouille มาจากคำในภาษาอ็อกซิตันว่า "ratatolha" ราตาตุยปัจจุบันพบเห็นได้ในภูมิภาคโปรวองซ์และเมืองนีซ มักจะทำในหน้าร้อนโดยใช้ผักในฤดูร้อน ratatolha สูตรดั้งเดิมจากเมืองนีซนั้นจะใช้เพียงแค่ซุกกีนี มะเขือเทศ พริกหยวกแดงและเขียว หัวหอม และกระเทียม แต่ราตาตุยในปัจจุบันจะมีการใส่มะเขือลงไปในส่วนผสมด้วย

ปกติราตาตุยจะเสิร์ฟเป็นอาหารข้างเคียงกับอาหารหลัก หรือบางครั้งก็เสิร์ฟเป็นอาหารหลักบนโต๊ะอาหาร

วันพฤหัสบดีที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2553

++"Fondue"++





ฟองดูว์ (Fondue) ได้ชื่อว่าเป็นอาหารสุดยอดของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เรียกได้ว่า ถ้าเอ่ยถึงอาหารประเภทนี้ ก็ต้องรู้ว่าเป็นอาหารที่มีต้นกำเนิดในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ แต่ความจริงแล้วคุณรู้หรือไม่ คำว่า 'fondue' ของสวิสกลับมาจากคำกริยาของภาษาฝรั่งเศสที่ว่า Fondre (ฟองเดรอ) ซึ่งแปลว่า 'หลอมละลาย' ฟองดูว์เป็นวิธีการนำ เนยแข็ง (Cheese) มารับประทานวิธีหนึ่งของชาวสวิส เนื่องจากเนยแข็งตามแบบฉบับดั้งเดิมของยุโรปได้ชื่อว่ามีความแข็งมากจริงๆ ชาวสวิสนำเศษเนยแข็งที่เหลือๆ มาตั้งไฟให้หลอมละลาย เติมไวน์ขาว คนให้เข้ากัน แล้วจึงใช้ส้อมหรือเหล็กแหลมเสียบขนมปังลงไปจุ่มชีสที่หลอมละลายได้ที่จนทั่ว แล้วเอาเข้าปาก กินร้อนๆ เรียกว่า ชีสฟองดูว์ (Cheese Fondue) เป็นอาหารที่ให้พลังงานและแคลอรีสูง เพื่อนำมาเผาผลาญสร้างความอบอุ่นให้กับร่างกาย ต่อมาความนิยมของอาหารประเภทนี้ของชาวสวิสได้แพร่หลายเข้าไปในประเทศฝรั่งเศส ชาวฝรั่งเศสก็ได้ประยุกต์การกินชีสฟองดูว์ของชาวสวิสมาเป็น ฟองดูว์เนื้อ เรียกว่า ฟองดูว์ บูร์กีญอง (Fondue bourguignonne) เป็นการนำเนื้อวัวที่หั่นเป็นก้อนสี่เหลี่ยมขนาดพอคำ จิ้มจุ่มลงในหม้อน้ำมันพืชร้อนๆ (เหมือนกับการทอดแบบน้ำมันท่วมๆ) แล้วจิ้มกินกับซอสนานาชนิด จากจุดนี้เองก็ทำให้ฟองดูว์กลายเป็นอาหารที่มีชื่อเสียงขึ้นมา และคุณรู้หรือไม่ ฟองดูว์เคยเป็นอาหารที่พุ่งขึ้นสู่ความนิยมสูงสุดสำหรับงานเลี้ยงสังสรรค์มื้อค่ำระหว่างปีคริสต์ศตวรรษห้าศูนย์ถึงเจ็ดศูนย์ในยุโรป


จุดเริ่มต้นฟองดูว์


ในหมู่บ้านที่ห่างไกลและแยกตัวออกไปตั้งอยู่ตามเทือกเขาแอลป์ (Alps) ของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ผู้คนในหมู่บ้านต้องพึ่งพาอาหารที่หาได้และผลิตขึ้นในท้องถิ่น ยิ่งในระหว่างช่วงฤดูหนาว พืชพันธุ์และอาหารที่มีความสดยิ่งหามาทำอาหารได้ยาก และแล้วชาวสวิสซึ่งอาศัยอยู่ตามเทือกเขาแอลป์ก็ได้ค้นพบว่า พวกเขาสามารถนำชีสที่เก็บไว้นานแล้วมาทำเป็นอาหารที่ยอดเยี่ยมให้คนในครอบครัวได้รับประทานกัน พวกเขานำเศษชีสมาทำให้ละลายด้วยความร้อน เติมไวน์ในท้องถิ่น และปรุงรสอีกนิดหน่อย ทำให้ได้ชีสที่มีลักษณะเหมือนครีมข้น จากนั้นก็ใช้ขนมปังจิ้มรับประทานอย่างเอร็ดอร่อย และเรียกอาหารประเภทนี้ว่า ฟองดูว์ ฟองดูว์หรือชีสฟองดูว์นี้เมื่อรับประทานร่วมกับขนมปังเก่าหรือขนมปังที่เก็บมานาน ก็ช่วยให้ขนมปังเหล่านั้นมีรสชาติน่ารับประทานขึ้นอีกด้วย ช่วยให้มีอาหารดีๆ รับประทานไปตลอดช่วงฤดูหนาว บางครอบครัวก็ใช้มันฝรั่งและผลไม้กินกับฟองดูว์แทนขนมปัง ถือได้ว่าฟองดูว์เป็นอาหารชั้นเลิศที่คิดค้นขึ้นโดยชาวไร่ชาวนาสวิส

ชีสฟองดูว์ต้นตำรับ

ปัจจุบันชีสฟองดูว์มีให้รับประทานในหลายประเทศ แต่ชีสฟองดูว์ต้นตำรับสวิสได้รับการบันทึกไว้ว่าปรุงขึ้น จากส่วนผสมระหว่าง อังเมตาลชีส (emmenthaler cheese) ชีสสีเหลืองที่มีความแข็งปานกลาง รสจัด ตัวชีสมีรูเป็นเอกลักษณ์เด่น ผลิตขึ้นโดยชุมชนในหุบเขาอังเม (Emme) เขตปกครองเล็กๆ ของกรุงเบิร์น และ คูรแยร์ชีส (gruyere cheese) ทำจากนมวัว เป็นชีสที่มีความแข็ง แต่ได้รับการยกให้เป็นหนึ่งในชีสที่ดีที่สุดสำหรับการนำมาทำอาหาร ตั้งชื่อตามชื่อเมืองในสวิสที่เป็นต้นกำเนิดการทำชีสชนิดนี้ จากนั้นก็มีผู้ดัดแปลงสูตรชีสฟองดูว์แตกต่างกันไป บางสูตรมีการเติมแป้งข้าวโพด กระเทียม และชีสต่างชนิดกันไปตามแต่ความนิยมในพื้นที่นั้นๆ เช่น ชีสฟองดูว์ในฝรั่งเศสใช้ชีส ก็องเต (comte cheese) ชีสฝรั่งเศสที่มียอดขายราวสี่หมื่นตันต่อปี ผสมกับ โบฟอร์ (beaufort cheese) และอังเมตาล ในขณะที่ชีสฟองดูว์สไตล์อิตาเลียนมีส่วนผสมระหว่างชีสฟอนทีน่า (fontina cheese) นม ไข่ไก่ และเห็ดทรัฟเฟิล (truffle)

ความหลากหลายของฟองดูว์

นอกจากชีสฟองดูว์ คุณรู้หรือไม่ชาวสวิสยังประยุกต์ฟองดูว์ออกเป็นอีกหลายสูตร แต่ละสูตรก็มีวิธีรับประทานแตกต่างกันไป ซึ่งคุณ บรรพต นิธากร ทายาทเจ้าของโรงแรมคลาสสิค เพลส กรุงเทพฯ (Classic Place Hotel Bangkok) หลังจากมีโอกาสได้ศึกษาต่อยังประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ก็ได้นำวัฒนธรรมการรับประทานอาหารประเภทฟองดูว์ที่มีความหลากหลายของสวิส กลับมาเปิดบริการที่ห้องอาหาร เดอะ เพลส คอฟฟี่ช็อป แอนด์ ไฟน์ ไดนิ่ง (The Place Coffee Shop & Fine Dining) ที่ห้องอาหารแห่งนี้นอกจากนักชิมชาวไทยจะได้มีโอกาสลิ้มลอง ชีสฟองดูว์ สูตรต้นตำรับสวิสซึ่งมีกลิ่นชีสและรสชาติเฉพาะตัว ยังจะมีโอกาสได้ชิม ฟองดูว์ บูร์กีญอง เนื้อวัวอย่างดีหั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าพอดีคำ ใช้ส้อมฟองดูว์จิ้มแล้วนำลงทอดในหม้อฟองดูว์ที่ใส่น้ำมันพืช เสิร์ฟพร้อมสลัดผักและชุดซอส 4 แบบด้วยกัน คือ ทาวซันไอส์แลนด์ ทาทาซอส ซอสมะเขือเทศผสมทาบัสโก้ และน้ำจิ้มแจ่วแบบไทยๆ ความอร่อยของ ฟองดูว์ บูร์กีญอง คล้ายกับการรับประทานสเต๊กเนื้อวัวที่คนชิมสามารถควบคุมเองได้ว่าต้องการให้เนื้อสุกแค่ไหน

ความหลากหลายของฟองดูว์ในสวิตเซอร์แลนด์ยังทำให้เกิดฟองดูว์ที่เรียกว่า ฟองดูว์ ชินัวร์ (Fondue Chinoise) หรือฟองดูว์น้ำซุปจีน ฟองดูว์สูตรนี้แทนที่จะมีชีสในหม้อกลับเป็นน้ำซุปผักแบบจีน พ่อครัวชาวสวิสนำพืชท้องถิ่น ผักและสมุนไพรเอเชียหลายชนิดมาอบแห้ง เช่น พาร์สเลย์ แครอท หัวหอมใหญ่ ผักชี เห็ดหูหนู กระเทียม บรรจุใส่ซองแล้วพิมพ์คำว่า Fondue Chinoise ประทับลงบนซองให้รู้ว่าเครื่องปรุงในซองนี้สำหรับทำฟองดูว์ชินัวร์โดยเฉพาะ วิธีรับประทานฟองดูว์ชินัวร์คือ ใส่น้ำลงในหม้อฟองดูว์ ยกขึ้นตั้งเตาบนโต๊ะอาหาร ฉีกซองเครื่องปรุงแล้วเทลงในหม้อฟองดูว์ทำเป็นน้ำซุป เมื่อน้ำซุปเดือด ก็ใช้ส้อมฟองดูว์จิ้มเนื้อสัตว์ต่างๆ ลงลวกในน้ำซุปร้อนๆ สามารถเลือกรับประทานได้ทั้งเนื้อวัว เนื้อไก่ เนื้อหมู หรืออาหารทะเล เสิร์ฟพร้อมผักสดและบะหมี่ซึ่งนิยมรับประทานกับน้ำซุปตอนสุดท้าย แต่ถ้าเป็นชาวญี่ปุ่นจะนิยมสั่งข้าวสวยและไข่ไก่มาเทใส่รวมกันในหม้อน้ำซุปตอนสุดท้าย แล้วตักรับประทานเป็นการปิดท้ายอาหารมื้อนั้น

ส่วนฟองดูว์ประเภทของหวาน (Dessert Fondue) ที่เป็นเอกลักษณ์ของฟองดูว์สวิสก็คือ ฟองดูว์ ช็อกโกแลต เริ่มปรากฏขึ้นครั้งแรกในช่วงทศวรรษของปี ค.ศ.1960 นี่เอง โดยการนำช็อกโกแลตมาละลายแล้วใช้ผลไม้สดจิ้มรับประทาน วิรัตน์ เนตรวงษ์ เชฟผู้เชี่ยวชาญด้านขนมอบ (Pastry Chef) โรงแรมคลาสสิค เพลส กรุงเทพฯ อธิบายขั้นตอนการทำฟองดูว์ช็อกโกแลตว่า เริ่มต้นด้วยการนำช็อกโกแลตสวิส (ยี่ห้อ Lindt) สำหรับทำฟองดูว์โดยเฉพาะ มาหั่นให้เป็นฝอย ประมาณ 1 กิโลกรัม จากนั้นต้มนมสด 250 กรัมผสมวิปปิ้งครีม 200 กรัมให้เดือด แล้วเทใส่ลงในช็อกโกแลตหั่นฝอยที่เตรียมไว้ คนให้เข้ากันจนเป็นเนื้อครีม เทใส่ในภาชนะที่สวยงาม จิ้มรับประทานด้วยผลไม้สด เช่น สตรอว์เบอร์รี กล้วยหอม แอปเปิลเขียว หรือขนมอย่างมาร์ชแมลโลว์ (marshmallow)

การรับประทานอาหารประเภทฟองดูว์นิยมรับประทานกันเป็นกลุ่มเล็กๆ ตั้งแต่สองคนขึ้นไปจนถึง 6 คน มีให้เลือกรับประทานได้ทั้งแบบมื้ออาหารและแบบของหวานก็ได้ วิธีรับประทานก็ง่ายๆ แค่ยกส้อมฟองดูว์ขึ้นจิ้มอาหาร แล้วจุ่มและวนส้อมไปมาในหม้อฟองดูว์ก็ช่วยให้เป็นมื้อที่เพลิดเพลินในหมู่เพื่อนสนิทหรือครอบครัวได้เหมือนกัน

"บึงกาฬ " จังหวัดที่ 77 ของประเทศไทย



จังหวัดบึงกาฬ เป็นจังหวัดที่มีการร้องขอให้จัดตั้งขึ้น เมื่อปี พ.ศ. 2537แต่ไม่ผ่านกระบวนการพิจารณาในขณะนั้น และได้มีการนำสู่กระบวนการพิจารณาอีกครั้ง โดยผ่านมติเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี ในวันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2553 โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา และคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อนำทูลเกล้าฯ เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย และประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยจะต้องออกเป็นพระราชบัญญัติการจัดตั้งจึงจะมีผลโดยสมบูรณ์
การร้องขอจัดตั้งถูกขอตามข้อเสนอของนายสุเมธ พรมพันห่าว สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคเสรีธรรม จังหวัดหนองคาย โดยแยกพื้นที่อำเภอบึงกาฬ อำเภอปากคาด อำเภอโซ่พิสัย อำเภอพรเจริญ อำเภอเซกา อำเภอบึงโขงหลง อำเภอศรีวิไล และอำเภอบุ่งคล้า ออกจากจังหวัดหนองคาย

จังหวัดบึงกาฬที่เสนอให้จัดตั้งมีพื้นที่ทั้งหมด 4,305 ตร.กม. จากการสำรวจความเห็นของประชาชนจังหวัดหนองคาย ปรากฏว่าประชาชนเห็นด้วยกับการจัดตั้งจังหวัดบึงกาฬ ร้อยละ 98.83 หากมีการจัดตั้งจังหวัดบึงกาฬ จะมีประชากรประมาณ 390,000 คน ประกอบด้วย 8 อำเภอ
สภาพทั่วไป
ปัจจุบันบึงกาฬเป็นอำเภอที่มีสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่ง มีน้ำตก มีภูเขา เป็นอำเภอที่มีเขตพื้นที่ติดต่อกับแม่น้ำโขง และแขวงบริคำไชย สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
เมื่อปี พ.ศ. 2537 กระทรวงมหาดไทย ได้แจ้งผลการพิจารณาว่ายังไม่มีแผนที่จะยกฐานะอำเภอบึงกาฬขึ้นเป็นจังหวัด เพราะการจัดตั้งจังหวัดใหม่เป็นการเพิ่มภาระด้านงบประมาณ อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มกำลังคนภาครัฐซึ่งขัดมติคณะรัฐมนตรี[3]
ต่อมาในปี พ.ศ. 2553 กระทรวงมหาดไทย ได้นำเรื่องการจัดตั้งจังหวัดบึงกาฬ เข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เพื่อเสนอเป็นร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งจังหวัดบึงกาฬ ต่อมาในวันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2553 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการจัดตั้งจังหวัดบึงกาฬ

วันพุธที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2553

อันตรายจากคอนแทคเลนส์ big eyes





คอนแทคเลนส์เมื่อก่อนเป็นอุปกรณ์ที่ใช้เพื่อปรับสายตาสำหรับผู้ที่สายตามีปัญหาเท่านั้น แต่ในปัจจุบันคอนแทคเลนส์กลายเป็นเรื่องแฟชั่นที่นิยมมากในหมู่วัยรุ่น มีหลายประเภททั้งบิ๊กอายส์ที่ทำให้ดวงตากลมโต หรือคอนแท็กต์เลนส์หลากสีสันเพื่อเปลี่ยนสีตา มีหลายราคาให้เลือกตั้งแต่หลักร้อยไปนถึงหลักพัน หาซื้อได้ง่ายตามแผงลอยแหล่งแฟชั่นทั่วไป หรือแม้กระทั่งสั่งซื้อทางอินเตอร์เน็ต

ความจริงแล้วเป็นเรื่องอันตรายมาก ที่ถูกควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจสภาพสายตาว่ามีปัญหาเพียงใด ไม่ควรหามาใส่เอง แพทย์เตือนคนสายตาปกติว่าไม่ควรใช้คอนแทคเลนส์ไม่ว่าด้วยจุดประสงค์ใดก็ตามควรคำนึงว่า คอนแทคเลนส์นั้นต้องสัมผัสกับดวงตาของเราโดยตรง ดวงตาเป็นส่วนที่บอบบางมาก อาจทำให้เกิดปัญหาเคืองตา คันตา เกิดรอยแผล อาจถึงขั้นติดเชื้อหากไม่รักษาความสะอาดดีพอ หรืออาจสูญเสียกระจกตาถาวรเลยก็เป็นได้

การรักษาความสะอาดก็สำคัญ ต้องถอดล้างทำความสะอาดอย่างดีรวมถึงต้องล้างมือให้สะอาดและเช็ดให้แห้งก่อนสัมผัสเลนส์ ภาชนะที่เก็บเลนส์ต้องสะอาดอยู่เสมอเปลี่ยนเลนส์ตามระยะที่กำหนด และห้ามใส่คอนแทคเลนส์นอน แม้ผู้ผลิตจะบอกว่าใสได้นานต่อเนื่องก็ตามและที่สำคัญห้ามใช้คอนแท็กต์เลนส์ร่วมกับผู้อื่น หากเกิดปัญหาค่ารักษาตาแพงกว่าราคาเลนส์หลายเท่านัก แลกกับความสวยงามเพียงชั่วครู่ เสี่ยงกับการสูญเสียดวงตาถาวร มันไม่คุ้ม

“อิน –จัน แฝดสยามคู่แรกของโลก ”




อิน-จันแฝดสยามมีตัวหน้าอกติดกัน ซึ่งในขณะนั้นถือได้ว่าเป็นบุคคลประหลาดที่ยังไม่เคยมีมาก่อน เพราะส่วนใหญ่เด็กที่เกิดขึ้นในลักษณะนี้มักเสียชีวิตหรืออยู่ได้ไม่นานจึง เป็นเรื่องที่ผู้คนต้องให้ความสนใจ โชคดีที่มีฝรั่ง 2 คนเกิดความสนใจที่จะเอาอิน-จันไปแสดงในต่างประเทศ ทำให้ทั้งสองได้เห็นโลกอันกว้างใหญ่ และได้เรียนรู้ภาษาอังกฤษจนสามารถติดต่อพูดคุยกับชาวโลกอื่น ๆ ได้ จนประสบความส าเร็จมีเงินร่ ารวยจนซื้อที่ตั้งรกรากท าไร่ในสหรัฐฯถึงเกือบ 400 ไร่และแต่งงานกับสาวอเมริกันมีลูกสืบเชื้อสายต่อมาอีกมากมาย ชีวิตของ บุคคลทั้งสองนั้นมีเรื่องราวที่น่าศึกษาเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากจะเป็นเรื่องที่สามารถรอดชีวิตมาได้แล้ว ก็ยัง สามารถท ากิจกรรมต่าง ๆ มากมายเยี่ยงคนสามัญทั้งหลาย จนถึงขนาดมีภรรยาเหมือนเช่นคนปกติและก็ไปไหนมาไหนด้วยกันทั้งสองคน แม้กระทั่งคนใดคนหนึ่งจะหลับนอนกับภรรยาก็จะมีอีกคนหนึ่งติดไปด้วยเสมอ โดย ที่ทั้งสองต่างมีความรู้สึกนึกคิดเป็นคนละคนและมีอุปนิสัยที่แตกต่างกัน แต่ก็ต้องมีตัวที่ติดกันตลอดวันตลอดคืน หากเป็นคนทั่วไปคงยากที่จะรับได้ แต่สำหรับ อิน –จัน เขาทั้งสองต้องรับรู้ซึ่งกันและกันมาเป็นเวลาถึง 62 ปีเต็ม ทำให้เกิดการขัดแย้งกันมากมายแต่ก็ไม่มีทางเลือกที่จะแยกทางกันได้ ถึงแม้จะมีหลายครั้งที่ทั้งสองพยายามปรึกษาหาหมอมาแยกร่างของเขาออกจากกัน แต่ในยุคนั้นวิทยาการการแพทย์ยังไม่สามารถทำอะไรได้ มากนัก จนสุดท้ายทั้งสองก็เสียชีวิตในวันเดียวกัน ถึงแม้บุคคลทั้งสองจากเมืองไทยไปและก็ไม่ได้กลับมาสู่บ้าน เกิดเมืองนอนอีก และทุกคนที่รู้เรื่องสองคนก็มักจะนึกถึงเมืองไทยเสมอ ถือได้ว่าที่โลกรู้จักเมืองไทยก็เพราะเขา ทั้งสองเป็นส่วนหนึ่งเช่นกัน แม้ว่าเวลาจะล่วงเลยไปเกือบ 200 ปีแล้วก็ตาม แฝดอิน-จัน เป็นฝาแฝดที่มีลักษณะ ผิดแผกแตกต่างไปจากแฝดคู่อื่นๆ เพราะมีร่างกายติดกันมาตั้งแต่เกิด และท าให้ชาวโลกรู้จักฝาแฝดอิน-จันคู่นี้ที่มีล าตัวติดกันเป็นครั้งแรกในโลก แต่ก่อนฝรั่งไม่เคยพบเห็นเด็กฝาแฝดที่มีร่างกายติดกัน พอมาพบเด็กแฝดชาว ไทยชื่ออินกับจันที่มีตัวติดกัน จึงท าให้มีค าเรียกฝาแฝดที่มีร่างกายติดกันว่า “แฝดสยาม ” (Siamese twins) นับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

แฝดอิน-จัน เกิดเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2354 ซึ่งตรงกับรัชสมัยของ สมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ที่บ้านเรือนแพริมน้ าปากคลองแม่กลอง ต.แหลมใหญ่ อ.เมือง จ.สมุทรสงคราม บิดาของแฝดอิน-จันชื่อนายทีอาย เป็นชาวจีนแต้จิ๋วที่อพยพมาจากจีนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งเกิดที่เมืองจีนในสมัยราชวงศ์ชิงราชวงศ์สุดท้ายของจีน แล้วอพยพเข้ามาดินแดนสยามในสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชรัชกาลที่ 1 เมื่อราว พ.ศ. 2333 โดยแรกเริ่มมาลงหลักปักฐานประกอบอาชีพประมงและค้าขายที่ปากคลอง (แม่น้ า) แม่กลอง ส่วนมารดาชื่อนางนก มีเชื้อสายจีน-มาเลย์ อิน-จัน มีพี่น้องร่วมท้องเดียวกันรวม 9 คน โดยแฝดอิน-จันเป็นลูกคนที่ห้าและหกของพ่อกับแม่ เมื่อแรกเกิดอิน-จันมีร่างกายสมประกอบทุกอย่าง เพียงแต่ที่หน้าอกมีแผ่นหนังเชื่อมยึดติดกันเป็นแถบกว้างประมาณ 6 นิ้ว และมีสายสะดือเดียวกัน ตอนแรกที่เกิดมานั้นหนังที่เชื่อมหน้าอกบิดเป็นเกลียว เด็กทั้งสองนอนในท่ากลับหัวกลับเท้า แม่ของแฝดอิน-จันจึงจับหมุนให้หันหัวและเท้าอยู่ในทิศทางเดียวกัน โดยอินจะเป็นคนที่อยู่ทางซ้ายของสายตาคนมอง ส่วนจันจะเป็นคนขวาของสายตาคนมอง การเกิดมาอย่างผิดปกติของเด็กทั้งคู่ในสมัยนั้นถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ดีนัก เพราะเชื่อกันว่าเด็กแฝดตัวติดกันเป็นเสนียดจัญไร อาจจะน าความฉิบหายมาให้บ้านเมืองได้ เรื่องเล่าบางเรื่องกล่าวว่าควรจะแยกเด็กทั้งคู่ออกจากกันเสียเพื่อให้ลางร้ายนั้นหมดไป แต่วิธีการที่หมอในสมัยนั้นจะทำกัน ล้วนเป็นเรื่องที่ฟังดูแล้วน่าตกใจ เช่น เอาลวดไปเผาไฟให้ร้อนแล้วใช้ลวดนั้นตัดทั้งสองคนออกจากกันหรือหมอบางคนถึงกับแนะนำให้เอาเลื่อยมาเลื่อยเด็กทั้งสองคนนี้ออกจากกันไปเลย แต่ไม่ว่าวิธีไหนก็ถูกบิดาและมารดาของแฝดอิน-จันปฏิเสธ พร้อมทั้งยืนยันว่าจะเลี้ยงเด็กแฝดนี้อย่างคนปกติทั่วไป เพื่อให้ลูกที่เกิดมาใช้ชีวิตเหมือนเด็กปกติธรรมดา นางนกแม่ของอิน-จันจึงพยายามดึงเส้นเอ็นที่เชื่อมหน้าอกของลูกทั้งสองให้ยืดยาวออกให้ได้มากที่สุดเพื่อให้ทั้งคู่เคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างสะดวก อีกทั้งยังฝึกให้เด็กทั้งสองท ากิจกรรมต่างๆ อย่างเช่นการเดิน วิ่ง ว่ายน้ำ พายเรือ เพื่อให้เด็กทั้งคู่จะสามารถท าสิ่งต่างๆ ได้เหมือนเด็กคนอื่นๆ และสามารถใช้ชีวิตตามปกติ

แฝดอิน-จันได้เริ่มหัดเดินก็พบความยุ่งยากที่มีมากกว่าเด็กธรรมดาคนอื่นๆ เพราะขณะที่คนหนึ่งก้าวเท้าหากอีกคนหนึ่งอยู่เฉยๆ ก็จะหกล้มหัวคะม าไปทั้งคู่ แต่ไม่นานนักปัญหานี้ก็หมดไปเมื่อทั้งคู่รู้จักการโอบไหล่กันเข้าหากัน ก้าวเท้าประสานกัน เหมือนเป็นคนๆ เดียวกันจนสามารถเดินและวิ่งได้อย่างคล่องแคล่ว สิ่งที่น่าแปลกก็คือทั้งคู่จะรู้ว่าอีกคนจะเดินไปทางไหน จะหยุดเมื่อไหร่ และลุกขึ้นยืนตอนไหน อินกับจันจะทำอะไรพร้อมกันอยู่เสมอ รวมไปถึงป่วยพร้อมกัน มีอาการป่วยเหมือนกันและหายป่วยในวันเดียวกัน ลักษณะนิสัยของทั้งคู่จะทำอะไรประสานกลมกลืนกันไปหมดไม่ค่อยเถียงกัน แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นคนๆ เดียวกัน เพราะเขาสามารถสนทนาโดยต่างคนต่างคุยกับอีกคนหนึ่ง ในเวลาเดียวกันได้ในหัวข้อเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกัน ด้านอุปนิสัยนั้น อินค่อนข้างจะเป็นคนเงียบ ใจเย็น เจ้าความคิด ส่วนจันมีนิสัยใจร้อน เจ้าอารมณ์ ฉุนเฉียวง่าย แต่ทั้งคู่เป็นเด็กที่ซน จะชอบไต่ขึ้นไปบนเนินเตี้ยๆ แล้วกอดกันกลิ้งลงมาแล้วพากันหัวเราะอย่างสนุกสนาน อีกทั้งยังชอบวิ่งข้ามรั้ว พอเมื่อตอนที่ทั้งคู่อายุได้ 8 ขวบพ่อก็เสียชีวิตไปเนื่องจากอหิวาตกโรคเมื่อปี พ.ศ. 2362 อิน-จันจึงต้องมีหน้าที่ช่วยงานแม่เลี้ยงเป็ดขายไข่ ขายน้ ามันมะพร้าว ท าไข่เค็มขาย และหาปลา ทั้งสองฉายแววฉลาดให้เห็นตั้งแต่เด็กๆ ครั้นเมื่อรัชกาลที่ 3 ทรงเสด็จขึ้นครองราชย์ พระองค์ทรงโปรดเกล้าฯ ให้เข้าเฝ้า ตอนเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อเข้าเฝ้านั้นทั้งคู่ได้นำไข่เป็ดบรรทุกมาในเรือเพื่อให้แม่ออกนำขายระหว่างที่อยู่ในกรุงเทพฯ จะได้มีทุนซื้อสินค้าจากกรุงเทพฯ กลับไปขายที่แม่กลอง ในวันที่ครอบครัวของอิน-จันเสด็จมาเข้าเฝ้านั้นแฝดอิน-จันได้นำไข่เค็มมาทูลเกล้าถวายฯ ด้วย นอกจากนี้ หลังจากที่ได้เข้าเฝ้าฯ แล้ว ใน พ.ศ. 2370 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ทรงมีพระบรมราชานุญาตให้อิน-จันร่วมเดินทางไปกับคณะทูตสยาม ในการไปเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศโคจินจีนหรือเวียดนามในปัจจุบัน อิน-จันได้รับการต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่โดยมีขบวนแห่มารับอย่างอึกทึกครึกโครม

ปี พ.ศ. 2372 แฝดอิน-จัน มีอายุได้ประมาณ 18 ปี สยามเปิดประตูต้อนรับชาวต่างชาติจากทั่วโลก และได้มีเรือกำปั่นอเมริกันล าหนึ่งชื่อ “เดอะชาเคม” (The Sachem) เข้ามาเทียบท่าในกรุงเทพฯ มีนายเรือชื่อกัปตันคอฟฟิน ต่อมาเมื่อกัปตันชื่ออาเบล คอฟฟิน (Abel Coffin) และพ่อค้าชาวสก็อตชื่อโรเบิร์ต ฮันเตอร์ (Robert Hunter) ได้ตั้งห้างอยู่หน้าวัดประยูรวงศ์ ได้ทราบเรื่องฝาแฝดอิน-จันจึงเดินทางมาหา เมื่อเห็นแฝดอิน-จัน ว่ายน้ำไปขึ้นเรือและพายเรืออย่างคล่องแคล่ว ก็รู้สึกตื่นเต้นเป็นที่สุด พร้อมๆ วาดความคิดขึ้นมาทันทีว่า นี่แหละคือ “สินค้าตัวใหม่” จากแดนสยาม นายฮันเตอร์เข้ามาตีสนิทกับครอบครัวของอิน-จันอยู่ร่วมปี และได้ติดต่อกับแม่ของเด็กทั้งสองให้แฝดอิน-จันไปเปิดการแสดงที่โรง มหรสพ ของเขาในสหรัฐอเมริกา โดยอ้างกับแม่ของอิน-จันว่าเพื่อแนะน าให้ชาวโลกได้รู้จัก ทางการสยามได้อนุญาตให้แฝดอิน-จัน เดินทางออกนอกราชอาณาจักรไปแสดงตามที่ต่างๆ ตามค าขอร้องของนายฮันเตอร์และกัปตันคอฟฟิน ซึ่งแม่ของแฝดอิน-จันก็ได้ตกลงและได้รับเงินจ านวน 1,600 บาท แฝดอิน-จันจึงได้ไปเปิดการแสดงที่สหรัฐอเมริกาโดยมีก าหนด 3 ปี จนกว่าทั้งคู่จะอายุครบ 21 ปี โดยอิน-จันได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินเดือน 50 เหรียญต่อเดือนหากแสดงในสหรัฐฯ ขณะที่เดินทางไปสหรัฐอเมริกานั้นแฝดอิน-จัน มีอายุได้ราว 18 ปี ซึ่งนับเป็นคนไทยคู่แรกที่ได้ไปถึงสหรัฐอเมริกา โดยได้เดินทางออกจากสยามเมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2372 โดยมุ่งหน้าไปที่เมืองบอสตัน การเดินทางใช้เวลาถึง 138 วัน ในระหว่างนั้นก็ได้ฝึกภาษาอังกฤษกับพวกลูกเรือ เมื่อไปถึงสหรัฐฯ ค าว่า Siamese Twins จึงได้เกิดขึ้นแต่ครั้งนั้นมา แฝดอิน-จันเริ่มเปิดการแสดงที่เมืองบอสตันเป็นที่แรก ก่อนจะออกเดินทางแสดงทั่วอเมริกาอีกร่วม 10 ปี โดย สัญญาที่ท าไว้กับนายฮันเตอร์และกัปตันคอฟฟินจะสิ้นสุดลงเมื่อทั้งคู่มีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ โดยในช่วง 2 ปี แรก ทั้งคู่ก็ได้รับส่วนแบ่งค่าตอบแทน โดยมีกัปตันคอฟฟินเป็นผู้จัดการ แต่ดูเหมือนกัปตันเป็นผู้หาผลประโยชน์เสียมากกว่า แฝดอิน-จัน ถูกนำไปเปิดการแสดงโชว์ตัวตามประเทศต่างๆ ซึ่งท ารายได้ให้แก่กัปตันคอฟฟินและนายโรเบิร์ต ฮันเตอร์ เป็นอย่างมาก เมื่อแฝดอิน-จัน ไปแสดงที่ใดก็จะได้รับความสนใจ อย่างมาก วงการแพทย์ก็ให้ความสนใจขอตรวจร่างกาย แต่ก็ยังไม่มีการสรุปว่าจะสามารถผ่าตัดแยกร่างออกจากกันได้ เพราะเกรงว่าหากท าเช่นนั้นแล้วจะท าให้ทั้งสองถึงแก่ความตายได้ การแสดงของคู่แฝดไม่ได้มีจุดขายอยู่ที่ความแปลกประหลาด หรือได้แต่เดินไปมาให้ผู้ชมดูความเป็นแฝดตัวติดกันของตนเท่านั้น แต่อยู่ที่ความสุภาพ ความเฉลียวฉลาด และความสามารถอันน่าทึ่งของทั้งคู่ โดยทั้งสองได้ออกแบบการแสดงเองเพื่อให้เห็นถึงความว่องไวและพละก าลัง เช่น อิน-จันสามารถตีลังกาไปข้างหน้า-กลับหลังได้พร้อมๆ กัน และท้าผู้ชมมาดวลหมากกระดานกันสดๆ กลางเวที เล่นกายกรรม ตีแบดมินตัน แถมทั้งคู่ยังมีอารมณ์ขันแบบสุดๆ เช่นคืนเงินครึ่งหนึ่งให้กับผู้ชมคนหนึ่ง โดยบอกว่าผู้ชมท่านนั้น ดูการแสดงด้วยตาเพียงข้างเดียว ต่อจากนั้นก็มีการนำอิน –จันไปแสดงที่อังกฤษ หลังจากเสร็จสิ้นการปรากฏตัวที่อังกฤษแล้ว นายคอฟฟินต้องการพาอิน-จันไปฝรั่งเศส แต่รัฐบาลของฝรั่งเศสปฏิเสธค าขอ เพราะเห็นว่าทั้งคู่เป็นอสุรกาย ซ้ าเกรงว่าจะมีผลเสียหายต่อเด็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เกรงว่าหากหญิงมีครรภ์เห็นเข้า ก็จะท าให้ลูกเกิดมาผิดปกติ อย่างไรก็ตามในปี พ.ศ. 2378 (ค.ศ. 1835) อิน-จันก็ได้มีโอกาสไปปรากฏตัวในประเทศฝรั่งเศส แฝดอิน-จัน ท างานกับคอฟฟินจนกระทั่งครบสัญญาในวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2375 (ค.ศ. 1832) หลังเขาทั้งสองได้แยกตัวออกจากคณะมหรสพอย่างเป็นทางการ และเปิดการแสดงอย่างอิสระ ตระเวนออกแสดงทั่วสหรัฐฯ และอังกฤษ ท าให้รายได้เพิ่มมากขึ้นจนมีฐานะร่ ารวย หลังจากการตระเวนแสดงให้คนดูในประเทศสหรัฐอเมริกาอยู่หลายปี แฝดอิน-จัน ได้พบเห็นบ้านเมืองและภูมิประเทศต่างๆ มากมาย พร้อมกับได้เรียนรู้ภาษาและขนบธรรมเนียมของอเมริกันชนจนเจนจบ ทั้งคู่จึงตกลงใจเปลี่ยนสัญชาติเป็นอเมริกัน และการตระเวนเปิดการแสดงตามที่ต่างๆ ท าให้พวกเขาพอมีเงินที่จะซื้อที่ดินได้ โดยทั้งสองท ารายได้ทั้งหมดประมาณ 60,000 เหรียญสหรัฐฯ ดังนั้นเมื่อทั้งคู่มีอายุได้ 28 ปี ใน พ.ศ. 2382 จึงได้ลงหลักปักฐานที่ต าบลแทรพฮิลล์ ในมลรัฐนอร์ท แคโรไลนา โดยซื้อที่ดินเพื่อปลูกบ้านอยู่ และสามารถซื้อที่ดินท าไร่เป็นของตัวเองบนเนื้อที่ 150 เอเคอร์

แฝดอิน-จันหันไปทำไร่ยาสูบจนประสบความสำเร็จ มีฐานะร่ ารวยขึ้น ต่อมาพวกเขาได้ใช้นามสกุลว่า บังเกอร์ (Bunker) ในปี พ.ศ. 2383 (ค.ศ. 1840) เพื่อให้มีสิทธิเป็นชาวอเมริกัน เพราะทางการไม่ยอมให้โอนสัญชาติหากไม่มีชื่อสกุลเป็นคริสต์ ทั้งคู่เป็นคนไทยค่แรกที่ขอโอนสัญชาติ เมื่อมีอายุได้ 31 ปี อินและจันได้พบรักและแต่งงานพร้อมๆ กัน อินแต่งงานกับมิสซาร่า เยสท์ หรือแซลลี เยตส์ อายุ 20 ปี ส่วนจัน แต่งงงานกับมิสอาดิเลด เยสท์ อายุ 19 ปี โดยทั้งสองคู่ได้ท าพิธีแต่งงานที่โบสถ์เมธอดิสท์ ในวันที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2386 (ค.ศ. 1843) โดยอิน-จันปลูกบ้านให้ภรรยาอยู่คนละหลัง ห่างกันประมาณ 1 กิโลเมตร แรกทีเดียวทั้งสี่คนนั้นอาศัยอยู่ด้วยกันในบ้านหลังเดียวกัน ภรรยาของแฝดอิน-จันเป็นลูกสาวของหมอสอนศาสนา ทั้งคู่ได้มีบุตรคนแรกในเวลาไล่เลี่ยกันโดยห่างกันเพียง 6 วัน อินมีลูก 11 คน จันมีลูก 10 คน ระยะเวลาเพียงสิบกว่าปี สองครอบครัวมีลูกรวมกัน 21 คนพอดี ไม่ปรากฏว่าลูกคนใดมีความผิดปกติ นอกจากมีบันทึกว่า 2 คนเป็นใบ้ หลังจากที่ต่างฝ่ายต่างมีลูกได้ 3 คนแล้ว ภรรยาทั้งสองก็ขอแยกไปอยู่ต่างบ้าน ด้วยเหตุผลแรกที่ต้องการพื้นที่เลี้ยงดูลูกมากขึ้น และสาเหตุที่สองคือเพราะภรรยาทั้งสองเริ่มทะเลาะเบาะแว้งกัน อิน-จันจึงลงเอยด้วยการสร้างบ้านใหม่ขึ้นอีกหลังหนึ่ง แล้วไปอยู่บ้านละ 3 วันสลับกันเมื่อผู้หญิงทั้งสองคนต้องมีสามีตัวติดกันจึงจ าเป็นต้องตกลงแบ่งสรรปันส่วนเวลากัน โดยจะผลัดกันอยู่บ้านละ 3 วันเพื่อไม่ให้เสียเปรียบได้เปรียบกัน นอกจากนี้ยังมีการตกลงกันว่า ระหว่างที่อยู่บ้านใครคนนั้นเป็นเจ้าของบ้านถือว่าผู้นั้นใหญ่สุด เจ้าของบ้านจะท าอะไรอีกฝ่ายต้องตามใจทุกอย่าง การที่อิน-จันมีครอบครัวน ามาซึ่งความสงสัยของคนโดยทั่วไปว่า เมื่อเวลาอินหรือจันมีความสัมพันธ์กับภรรยา อีกคนหนึ่งจะอยู่ในลักษณะใด และจะปฏิบัติตัวเช่นไร ซึ่งอินและจันก็ไม่เคยตอบค าถามนี้แก่ใครเลย แต่เรื่องที่เล่ากันก็คือ เพื่อให้เป็นไปตามครรลองของประเพณีอันดีงามและหลีกเลี่ยงค าครหาในยุคนั้น แฝดอิน-จันใช้วิธีขึงผ้าไว้ตรงกลางเวลาหลับนอนกับภรรยา เพื่อกันไม่ให้อีกฝ่ายเห็นรายละเอียดขณะหลับนอน เนื่องจากทั้งสองมีระบบประสาทที่แยกต่างหากจากกัน ฉะนั้นจึงไม่น่าที่อีกฝ่ายจะพลอยตื่นเต้นขึ้นมากมายไปกับความรู้สึกต่างๆ นานาในระดับเดียวกันโดยปริยายไปด้วย อิน-จัน มักเข้านอนเวลาเดียวกันหลับเวลาเดียวกัน ต่างกันเพียงเวลาตื่น จันตื่นนอนก่อนอินประมาณหนึ่งชั่วโมง จันชอบท างานบ้าน ส่วนอินชอบออกไปดูไร่ ที่น่าแปลกก็คือคนสองคนนี้แม้ว่าจะดูเป็นคน ๆ เดียวกันแต่กลับถือนิกายต่างกันอินเป็นแบบติสต์ ส่วนจันถือโรมันคาทอลิค แต่ก็ไม่มีใครปฏิเสธจะเข้าโบสถ์ที่อีกคนหนึ่งเข้าเป็นประจำระหว่างสงครามกลางเมืองระหว่างฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้ในประเทศอเมริกา อินเข้ากับฝ่ายเหนือ จันถือหางฝ่ายใต้ถึงขนาดส่งลูกชายเข้าร่วมรบในสงครามด้วย หลายปีต่อมาหลังแต่งงาน จันกลายเป็นคนติดเหล้า ส่วนอินติดไพ่ และสองพี่น้องทะเลาะเบาะแว้งกันอย่างไม่หยุดหย่อน ว่ากันว่า อินกับจันนิสัยไม่ค่อยเหมือนกัน อินเป็นคน เรียบร้อยชอบอยู่เงียบๆ ว่านอนสอนง่าย ช่างฝัน ใจเย็น และมักจะเป็นฝ่ายยินยอมอ่อนตาม แต่มีข้อเสียคือชอบเล่นไพ่ ส่วนจันเป็นคนโผงผาง ใจร้อน โมโหง่าย เป็นผู้น า และชอบกินเหล้า บ่อยครั้งที่ทั้งสองมีความคิดที่จะ ผ่าตัดแยกตัวแต่ก็ต้องล้มเลิกไปทุกครั้ง พ.ศ. 2414 แฝดอิน-จัน มีอายุได้ 60 ปี จึงหยุดการแสดงโชว์ หลังจากนั้น อินและจันเกิดป่วยเป็นอัมพาตซีกขวา อินทั้งดื่มสุราจัดด้วย จึงท าให้สุขภาพของจันเสื่อมโทรมลงไปด้วย แพทย์ ตรวจพบว่าจันป่วยเป็นโรคหลอดลมอักเสบ มีอาการรุนแรงและทรุดลงเรื่อยๆ จนกระทั่งในคืนวันที่ 17 อินเห็นดังนั้นจึงขอร้องให้จันไปนอนพักผ่อน แต่จันอ้อนวอนอินให้นั่งหน้าเตาผิงเป็นเพื่อนเขาต่อไป ในเวลา ต่อมาเมื่อจันรู้สึกดีขึ้นเขาจึงยอมเข้านอน เมื่อจันเข้านอนได้ไม่นานนัก อินก็พบว่าจันได้ตายจากเขาไปเสียแล้ว ไม่มีใครรู้ซึ้งถึงจิตใจของอินว่าความผูกพันด้านจิตใจของเขาต่อคู่แฝดที่จากไปนั้นมันล้ าลึกแค่ไหน อินนอน กอดศพจันที่หมดลมหายใจไปแล้วอยู่ตลอดเวลา จนอีกสองชั่วโมงต่อมาอินก็ตายตามจันไปอย่างสงบ รวมอายุ ได้ 62 ปี ศพของคนทั้งคู่ฝังอยู่ที่สุสานของโบสถ์ไวท์เพลนส์ เมืองเมาท์แอรี สหรัฐอเมริกา

กระทรวงการต่างประเทศ นำฝาแฝดคู่นี้ไปประเทศสหรัฐอเมริกา มีกำหนดสามปี โดยจ่ายเงินให้แก่แม่ของอิน - จัน เป็นเงิน ๑,๖๐๐ บาท ฝาแฝดอิน - จัน ได้ไปแสดงตัวที่เมืองบอสตัน ในสหรัฐอเมริกา เป็นแห่งแรก ผู้คนพากันมาชมกันเป็นจำนวนมาก เมื่อ อิน - จัน บรรลุนิติภาวะก็ได้แยกตัวออกจากมิสเตอร์ฮันเตอร์ แล้วไปแสดงในที่ต่าง ๆ มีคนมาชมเป็นจำนวนมากทั้งสองช่วยกันคิดแบบการแสดงต่าง ๆ ให้เห็นความว่องไวและพละกำลัง มีการหกคะเมนตีลังกา เป็นต้น จนหาเงินได้ร่ำรวย สามารถซื้อที่ดินทำไร่ที่รัฐนอร์ธแคโรไลนา เมืองเวิลด์โปโร เริ่มกิจการทำไรยาสูบที่รัฐเวอร์จิเนีย ประสบผลสำเร็จอย่างดี มีทาสและคนงานในไร่ถึง๓๓ คน พออายุได้ ๓๒ ปี ทั้งสองก็ได้แต่งงานกับหญิงชาวอเมริกันสองคน ทั้งคู่มีลูกชายและลูกสาวหลายคน ต่อมาทั้งสองได้เดินทางไปแสดงที่ยุโรปหลายครั้งทั้งสองถึงแก่กรรมเมื่อปี พ.ศ.๒๔๑๗ เมื่ออายุได้ ๖๓ ปี ทั้งสองสิ้นใจห่างกันสองชั่วโมง และเพื่อเป็นอนุสรณ์แก่อิน - จัน ที่สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทย ทางจังหวัสมุทรสงคราม จึงได้สร้างอนุสรณ์สถานแฝดอิน-จัน ขึ้นที่ตำบลลาดใหญ่ อำเภอเมือง ฯพื้นที่บริเวณเดียวกับที่จะสร้าง พิพิธภัณฑ์เรือ โดยมีเนื้อที่ถึง10 ไร่เศษ โดยสร้างรูปหล่อแฝดสยามขนาดเท่าครึ่งของตัวจริง และในส่วนบริเวณรอบรอบ ทางจังหวัดสมุทรสงครามได้ปรับปรุงทัศนียภาพรอบอนุสรณ์สถานแฝดอิน-จัน เพื่อให้เป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจ สถานที่ออกกำลังกาย สนามเด็กเล่น และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกแห่งหนึ่ง ของจังหวัดสมุทรสงคราม

ชื่อเสียงของอิน-จัน ทำให้เกิดคำเรียกแฝดตัวติดกันว่า แฝดสยาม (Siamese twins) ตามชื่อเรียกประเทศไทยในเวลานั้น ทั้งคู่เสียชีวิตเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2417 ภายหลังได้มีการสร้าง อนุสรณ์สถานแฝดสยามอิน-จัน ที่ ต. ลาดใหญ่ เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานแด่ฝาแฝดสยามอิน-จันที่ได้สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยไปทั่วโลก

วันเสาร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เจ๋ง!!ไขปริศนา"สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า"ได้แล้ว




สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน เมื่อวันที่ 10 ส.ค.ว่า นักวิทยาศาสตร์สามารถวิจัยค้นพบปริศนาลึกลับดำมืดของสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า ที่สร้างปรากฎการณ์ดูดกลืนเรือและเครื่องบิน ที่บินผ่านบริเวณดังกล่าวจนหายสาบสูญ และถูกกล่าวขานเรียกว่าเป็น"สามเหลี่ยมผีสิง ที่ร่ำลือกันว่า ได้ดูดกลืนสิ่งต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาทะลุไปยังอีกมิติหนึ่ง"โดยพบว่า สาเหตุแท้จริงมาจากการการก่อตัวของก๊าซ ธรรมชาติ ที่ใหญ่ขนาดเป็นฟองก๊าซขนาดยักษ์ และทำให้เรือและเครื่องบินสูญเสียการควบคุม ก่อนจมดิ่งสู่สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า


รายงานระบุว่า จากการค้นพบของศจ.โจเซฟ โมนาแกน หนึ่งในสองผู้วิจัยงานศึกษาไข ปริศนาดังกล่าว ระบุว่า เขาพบว่า บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า ปรากฎว่ามีก๊าซมีเธนเป็นจำนวนมาก ขนาดปะทุเป็นฟองก๊าซขนาดยักษ์ลอยเหนือบริเวณดังกล่าว ก๊าซดังกล่าวอยู่ใต้ท้องทะเลในบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า โดยเมื่อก๊าซเหล่านี้ขึ้นสู่พื้นผิว มันจะทะยานสู่อากาศ และขยายตัวเป็นวงกว้างและก่อตัวเป็นฟองก๊าซขนาดยักษ์ เมื่อเรือลำใดผ่านเข้าไปในบริเวณนั้น ก็จะเข้าไปสู่ฟองก๊าซมีเธนขนาดยักษ์ จนทำให้เรือเหล่านี้สูญเสียการควบคุม และจมลงสู่ห้วงทะเล

และหากฟองก๊าซดังกล่าวมีขนาดยักษ์มาก ๆ ที่สามารถครอบคลุมความหนาแน่นระดับสูงบนผืนฟ้าเพียงพอ มันก็จะทำให้เครื่องบินที่บินอยู่บนน่านฟ้าเหนือสามเหลี่ยมฯ สูญเสียการควบคุม ตกทะเลและจมลงสู่ท้องทะเลอย่างรวดเร็ว

วันอาทิตย์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ไขความจริง 'กลูตาไธโอน' สารทำให้ผิวขาว



หลายคนคงเคยได้ยินข่าวการฉีดสารกลูตาไธโอน สารที่ทำให้ผิวขาวกันมาบ้างแล้ว แต่ทราบหรือไม่ว่า สารกลูตาไธโอน เป็นสารที่มีอยู่แล้วในร่างกาย และเป็นสารที่มีความจำเป็นต่อร่างกาย การฉีดสารดังกล่าวเข้าไปอาจทำให้ร่างกายได้รับผลกระทบได้ จริงอยู่ที่สารกลูตาไธโอนทำให้ผิวขาวขึ้นได้ แต่ก็มีโทษอยู่เหมือนกัน และจะยิ่งอันตรายหากฉีดสารกลูตาไธโอนด้วยตัวเอง ดังนั้น คอลัมน์ “หมอรามาฯไขปัญหาสุขภาพ” วันนี้ จะมาเผยความจริงของสารกลูตาไธโอนเพื่อให้เป็นข้อมูลการตัดสินใจก่อนที่ใครหลายคนจะเริ่มฉีด

กลูตาไธโอนคืออะไร จำเป็นต่อร่างกายหรือไม่

กลูตาไธโอน (Glutathione) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญในร่างกาย ที่ร่างกายสามารถสร้างขึ้นได้เอง จากอาหารประเภทโปรตีน ไข่และนม รวมถึงผักผลไม้ประเภท หน่อไม้ฝรั่ง อะโวคาโด และวอลนัท ร่างกายจะเก็บกลูตาไธโอนที่สร้างขึ้นไว้ที่ตับ สามารถพบกลูตาไธโอนได้ในทุกเซลล์ของร่างกาย

กลูตาไธโอนมีความจำเป็นต่อร่างกาย โดยช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยให้ร่างกายดูดซึมวิตามินซีและอีได้มากขึ้น เป็นตัวกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย ช่วยสร้างและซ่อมแซม DNA นอกจากนี้ยังช่วยขับสารพิษออกจากร่างกาย โดยผ่านการสร้างเอนไซม์ชนิดต่าง ๆ และช่วยป้องกันตับจากการถูกทำลายโดยแอลกอฮอล์ได้อีกด้วย

ใช้ในทางการแพทย์อย่างไร ช่วยให้ผิวขาวจริง หรือไม่

มีรายงานการใช้ในรูปแบบฉีดหลายกรณี ทั้งใช้ในกรณีฉุกเฉิน เช่น ฉีดเพื่อเพิ่มการไหลเวียนของเลือดระหว่างผ่าตัด รักษาโรคทางระบบประสาท ขับพิษจากโลหะหนัก สารระเหย ยาฆ่าแมลง ยาพาราเซตามอลเกินขนาด ใช้เพิ่มภูมิต้านทานในผู้ป่วยเอดส์และมะเร็ง ในบางประเทศได้ขึ้นทะเบียนกลูตาไธโอนเป็นยาบางประเทศอนุญาตให้ใช้เป็นอาหารเสริม แต่สำหรับในประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนกลูตาไธโอนเป็นยา และไม่อนุมัติให้ใช้สารชนิดนี้ในรูปแบบฉีด

หากถามว่าช่วยให้ผิวขาวได้จริงหรือไม่ ต้องบอกว่า เดิมทีกลูตาไธโอนถูกผลิตขึ้นเพื่อใช้ฉีดเพิ่มภูมิต้านทาน รักษาผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย แต่กลับพบว่าผู้ป่วยมีผิวขาวขึ้น มีสีผมอ่อนลงหลังฉีดยา จึงอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้มีการนำมาฉีดเพื่อทำให้ผิวขาวกันมากขึ้น ซึ่งความเป็นจริงแล้ว หากร่างกายได้รับกลูตาไธโอนมากเกินไป ก็จะไปกดการสร้างเม็ดสีของผิวทำให้ผิวขาว ซึ่งอธิบายได้จาก

ปกติในร่างกายคนเรา เซลล์สร้างเม็ดสี (melano cyte) จะผลิตเม็ดสีเมลานินอยู่ 2 ชนิด ผิวคล้ำแบบคนเอเชียหรือคนไทย จะมีเม็ดสีขนาดใหญ่ เรียกว่า ยูเมลานิน (Eumelanin) คนผิวขาวแบบฝรั่ง จะมีเม็ดสีขนาดเล็กกว่า เรียกว่า ฟีโอเมลานิน (Pheomelanin) เมื่อร่างกายเราได้รับ กลูตาไธโอนปริมาณมาก จะไปกดการสร้างยูเมลานินตามปกติลง เปลี่ยนเป็นสร้างฟีโอเมลานินเพิ่มขึ้นชั่วขณะ ผิวจึงดูขาวขึ้น แต่เนื่องจากกลูตาไธโอน ไม่สามารถปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางพันธุกรรมของ เซลล์สร้างเม็ดสี (melanocyte) เมื่อเวลาผ่านไป เซลล์สร้างเม็ดสีก็กลับไปสร้างเม็ดสียูเมลานินมากตามปกติเหมือนเดิม

ดังนั้น ผู้ที่ฉีดกลูตาไธโอนเพื่อให้ผิวขาวขึ้น จำเป็นต้องฉีดในปริมาณมากกว่าขนาดที่ใช้รักษาตามปกติหลายเท่าตัวเป็นเวลาต่อเนื่องกันนาน จึงไม่จัดเป็นการดีท็อกซ์ และอาจมีอันตรายต่อสุขภาพในระยะยาวได้

มีอันตรายจากการใช้ หรือมีผลต่อชีวิตอย่างไรบ้าง

ผลข้างเคียงที่น่ากลัว คือการฉีดยาใด ๆ ก็ตามเข้าเส้นเลือดดำ ล้วนมีโอกาสที่จะแพ้ได้ ทั้งการแพ้ตัวยาเอง หรืออาจจะแพ้สารฆ่าเชื้อ สารกันเสีย สารปนเปื้อน ซึ่งจากรายงานในต่างประเทศพบว่า ผู้ที่ได้รับการฉีดกลูตาไธโอนขนาดสูง มีอาการช็อก ความดันต่ำ หายใจไม่ออก และเสียชีวิตได้หากไม่ได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที นอกจากนี้ก็ยังพบว่า มีการนำสารกลูตาไธโอน ที่ไม่ผ่านการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา รวมทั้งยาปลอมที่ผลิตที่เวียดนาม และ จีน มาจำหน่ายและใช้อย่างผิดกฎหมาย

การฉีดกลูตาไธโอน มักให้ร่วมกับวิตามินซีขนาดสูง เพื่อกระตุ้นให้ ออกฤทธิ์ ได้ชัดเจนขึ้น ซึ่งการฉีดวิตามินซี ในขนาดที่สูงและเร็วเกินไปอาจทำให้เกิดอาการมึน ศีรษะคล้ายจะเป็นลมได้ หากใช้ กลูตาไธโอนในผู้ป่วยมะเร็ง อาจทำให้ประสิทธิภาพของเคมีบำบัดลดลง การได้รับสารกลูตาไธโอนปริมาณมาก มีผลทำให้ขบวนการต้านอนุมูลอิสระของร่างกายเสียสมดุล กลายเป็นอนุมูลอิสระ กลับมาทำร้ายร่างกายได้

แต่ที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดคือ ปัจจุบันมีการ โฆษณาขายกลูตาไธโอนอย่างแพร่หลายทางอินเทอร์เน็ตราคาตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงเป็นหมื่นบาท ที่มีการแนะนำวิธีฉีดและอวดอ้างสรรพคุณจนทำให้คนที่อยากขาว เกิดความสนใจและซื้อหาไปทดลองฉีดกันเอง ซึ่งอาจทำให้เกิดการแพ้ ติดเชื้อ และปัญหา อื่น ๆ ตามมาอีกมาก

ข่าวที่ออกมาว่าใช้สารกลูตาไธโอนแล้ว จะทำให้ตาบอดและเป็นมะเร็ง จริงหรือไม่

สำหรับข่าวการใช้สารกลูตาไธโอนแล้ว จะทำให้ตาบอดและเป็นมะเร็ง สามารถอธิบายได้ว่า การที่ร่างกายได้ รับสารกลูตาไธโอนเป็นเวลานาน ๆ จะทำให้เม็ดสีเมลานิน ทั้งที่ผิวหนังและที่จอตาลดลง ทำให้จอตารับแสงได้น้อยลง เสี่ยงต่อการมองเห็นได้ในอนาคต ทางวารสารทางการแพทย์สหรัฐอเมริกาจึงได้จัดว่า สารกลูตาไธโอนเป็นสารที่อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงทางตา ส่วนเม็ดสีเมลานินที่ผิวหนัง จะทำหน้าที่เหมือนฟิล์มกรองแสงที่ผิวหนัง หากเม็ดสีที่ผิวหนังลดลง ร่างกายก็ขาดเกราะป้องกันแสงอัลตราไวโอเลต ทำให้ผิวเหี่ยวย่นเร็ว และแก่เร็วขึ้น รวมทั้งเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งผิวหนังด้วย ดังนั้น ถึงแม้ตัวสาร กลูตาไธโอนเองจะเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระ แต่การได้รับแสงอัลตราไวโอเลตปริมาณมากกลับอันตรายยิ่งกว่า

เหตุใดจึงต้องฉีดเข้ากล้ามเนื้อหรือเส้นเลือดโดยตรง

กลูตาไธโอนมีทั้งชนิดฉีด ชนิดพ่น และชนิดรับประทาน ซึ่งอย่างที่ทราบกันอยู่แล้วว่าสารชนิดนี้ หากรับประทานจะถูกย่อยไปก่อนการดูดซึม จึงมีผู้พยายามลองใช้ในปริมาณสูง ๆ เพื่อหวังว่าจะดูดซึมได้บ้าง แต่จนถึงปัจจุบัน ยังไม่มีการศึกษาใดบอกว่า ต้องกินมากแค่ไหนจึงจะดูดซึมได้ แล้วก็ไม่มีใครรู้ว่าปริมาณที่กินมาก ๆ นั้น จริง ๆ แล้วดูดซึมได้หรือเปล่า และผลข้างเคียงระยะยาวมีอะไรบ้าง

ส่วนยาชนิดฉีดเข้ากล้ามเนื้อหรือเข้าเส้นเลือดโดยตรง น่าจะเพิ่มขนาดยาได้แน่นอนกว่า แต่ผลข้างเคียงที่น่ากลัว คือการฉีดยาเข้าเส้นเลือดดำ มีโอกาสที่จะแพ้ได้ กลูตาไธโอนชนิดฉีดมีใช้ในคลินิกเอกชนมานานแล้ว แต่ยังไม่มีการใช้ในโรงพยาบาลรัฐหรือโรงเรียนแพทย์ เพราะไม่มีการศึกษาถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัยในระยะยาว นอกจากนี้ การฉีดยังเป็นการ เพิ่มสารกลูตาไธโอนได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น อาจทำให้ผิวขาวขึ้นได้ในเวลาสั้น ๆ หลังจากนั้น สีผิวก็จะกลับเป็นเหมือนเดิม จึงต้องทำให้ฉีดต่อไปเรื่อย ๆ ไม่มีที่สิ้นสุด

วันแม่แห่งชาติ



ในสังคมต่าง ๆ ทั่วโลกให้ความสำคัญกับ "ความเป็นแม่" และคำเรียกผู้ที่ให้กำเนิดสมาชิกใหม่ของแต่ละสังคมส่วนใหญ่จะเป็นคำแรกที่เด็กสามารถเปล่งเสียงได้ก่อน "แม่" ดังนั้นความหมายของคำว่า "แม่" ทุกภาษาและวัฒนธรรมจะมีคุณค่าอย่างมาก และหากสังเกตจะพบว่า "แม่" เป็นเสียงที่เด็กสามารถเปล่งได้อย่างง่าย และเป็นคำแรกที่สามารถออกเสียงนั้นได้อย่างมีความหมาย

นักภาษาศาสตร์ได้ตั้งข้อสังเกตไว้ว่า คำว่า "แม่" ของทุก ๆ ภาษา มาจากการออกเสียงของเด็ก โดยคำขึ้นต้นด้วยพยัญชนะริมฝีปากคู่ ได้แก่ ม , พ , ป ,บ หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นพยัญชนะชุดแรกที่เด็กสามารถทำเสียงได้ โดยการใช้ริมฝีปากบนและล่าง ดังเช่น

ภาษาไทย เรียก แม่
ภาษาจีน เรียก ม๊ะ หรือ ม่า
ภาษาฝรั่งเศส เรียก la mere (ลา แมร์)
ภาษาอังกฤษ เรียก mom , mam
ภาษาโซ่ เรียก ม๋เปะ
ภาษามุสลิม เรียก มะ
ภาษาไท เรียก ใต้คง เม เป็นต้น

"แม่" เป็นคำโดดหรือคำไทยที่บ่งบอกความสัมพันธ์อันอบอุ่นลึกซึ้งระหว่างผู้หญิงกับลูก แม่ หมายถึง ผู้มีพระคุณ ผู้ให้กำเนิด ให้น้ำนมลูกดื่มกิน ให้ความรักความเมตตาและปกป้องดูแลลูกจนเติบใหญ่ คำว่า "แม่" มักถูกนำไปใช้ร่วมกับคำอื่น ๆ โดยมีความหมายแตกต่างกันออกไป พอจะแบ่งแยกออกได้เป็นประเภทต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

1. แม่ ในฐานะเป็นคำที่ใช้แบ่งแยกเพศและบ่งบอกบทบาท ฐานะ สถานภาพและอากัปกิริยาของผู้หญิง เช่น แม่… (น.) : คำเรียกหญิงทั่วไป เช่น แม่นั่น แม่นี่ ; แม่ค้า (น.) : ผู้หญิงที่ดำเนินการค้าขาย ; แม่ครัว (น.) : หญิงผู้ดูแลครัว หุงหาอาหาร ; แม่คู่ (น.) : นักสวดผู้ขึ้นต้นบท ; แม่นม (น.) : หญิงผู้ให้นมเด็กกินแทนแม่ ; แม่บ้านแม่เรือน (น.) : หญิงดูแลบ้านเรือน ; แม่แปรก (น.) : หญิงผู้จัดจ้านหรือเป็นหัวหน้ากลุ่ม ; แม่มด (น.) : หญิงหมอผี หญิงคนทรง หญิงเข้าผี ; แม่ยาย (น.) : คำเรียกแม่ของเมีย ; แม่ม่าย (น.) : หญิงที่มีผัวแล้วแต่ผัวตายหรือเลิกร้างกันไป ; แม่ยั่วเมือง (น.) : คำเรียกพระสนมเอกแต่โบราณ ; แม่ย้าว (น.) : หญิงผู้เป็นแม่เรือน ; แม่รีแม่แรด (ว.) : ทำเจ้าหน้าเจ้าตา ; แม่แรง (น.) : หญิงผู้เป็นกำลังสำคัญในการงาน, เครื่องดีดงัดหรือยกของหนัก ; แม่เลี้ยง (น.) : เมียของพ่อที่ไม่ใช่แม่ตัว, หญิงที่เลี้ยงลูกบุญธรรม ; แม่เล้า (น.) : หญิงผู้กำกับควบคุมดูแลซ่องโสเภณี ; แม่สื่อแม่ชัก (น.) : ผู้พูดชักนำให้หญิงกับชายรักกัน ; แม่อยู่หัว (น.) : คำเรียกพระมเหสี เป็นต้น

2. แม่ เป็นคำที่ใช้บ่งบอกฐานะของผู้ปกป้องคุ้มครอง เช่น แม่ย่านาง (น.) : ผีผู้หญิงผู้รักษาเรือ นางไม้ ; แม่ซื้อ, แม่วี (น.) : เทวดาหรือผีที่คอยดูแลทารก เป็นต้น

3. คำว่า แม่ ยังถูกนำมาใช้เรียกผู้เป็นหัวหน้าหรือเป็นนาย บ่งบอกฐานะของผู้มีอำนาจในการกำกับดูแลและควบคุม เช่น แม่กอง แม่ทัพ เป็นต้น






อย่างไรก็ตาม ความหมายหลักของคำว่า แม่ ก็คงหนีไม่พ้นการเป็นผู้ให้ชีวิตหรือหญิงผู้ให้กำเนิดบุตร หญิงผู้ปกป้องคุ้มครองและดูแลรักษา สังคมไทยยังใช้คำว่าแม่ตามความหมายนี้เรียกสิ่งดีงามตามธรรมชาติอื่น ๆ เพื่อยกย่องเทอดทูนในฐานะผู้ให้กำเนิดและหล่อเลี้ยงชีวิต เช่น แม่น้ำ แม่โพสพ แม่ธรณี เป็นต้น ความหมายของคำว่าแม่ในลักษณะเช่นนี้แสดงให้เห็นชัดอย่างชัดเจนว่าสังคมไทยแต่โบราณมายกย่องและให้เกียรติสตรีเพศผู้เป็นแม่ ตระหนักในบทบาทหน้าที่และบุญคุณของแม่ต่อชีวิตของลูก ๆ ตลอดมาทุกยุคทุกสมัย

ในบริบทของสังคมวัฒนธรรมไทย แม่ คือ ผู้เสียสละความสุขส่วนตนเพื่อลูก ๆ คอยดูแลเอาใจใส่และประคบประหงมลูกจนเติบใหญ่ ความรักของแม่ถือว่าเป็นความรักที่บริสุทธิ์ สังคมไทยมักพูดถึงแม่ในฐานะของผู้ที่รักลูกยิ่งชีวิต พร้อมจะตกระกำลำบากเพื่อลูกของตนโดยไม่สำนึกเสียใจ นางจันทร์เทวีถูกขับออกจากเมือง ต้องระเหเร่ร่อนไร้ที่ซุกหัวนอนเพราะคลอดลูกเป็นหอยสังข์ แต่นางก็ยังรักและเฝ้าทะนุถนอมกล่อมเกลี้ยงโดยไม่เคยคิดรังเกียจเดียดฉันท์แม้แต่สัตว์อย่างนางนิลากาสร ก็ยังรักและหวงแหนลูกอย่างทรพี ปกป้องลูกของตนมิให้ถูกฆ่าดังเช่นลูกของตัวอื่น ๆ

แม้ว้าโดยทั่วไปแล้ว คำว่า "แม่" จะบ่งบอกความหมายของการเสียสละ ความรักและความผูกพันที่ผู้หญิงที่มีต่อลูกของตน แต่การที่สังคมไทยมีลักษณะวัฒนธรรมเฉพาะที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละชนชั้น ทำให้ความหมายของการเป็นแม่ ตลอดจนบรรทัดฐาน แบบแผน พฤติกรรมและบทบาทฐานะของผู้หญิงในวัฒนธรรมของแต่ละชนชั้นย่อมแตกต่างกันไป

วันศุกร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ประวัติความเป็นมาของขนมไทย



ในสมัยโบราณคนไทยจะทำขนมเฉพาะวาระสำคัญเท่านั้น เป็นต้นว่างานทำบุญ เทศกาลสำคัญ หรือต้อนรับแขกสำคัญ เพราะขนมบางชนิดจำเป็นต้องใช้กำลังคนอาศัยเวลาในการทำพอสมควร ส่วนใหญ่เป็น ขนมประเพณี เป็นต้นว่า ขนมงาน เนื่องในงานแต่งงาน ขนมพื้นบ้าน เช่น ขนมครก ขนมถ้วย ฯลฯ ส่วนขนมในรั้วในวังจะมีหน้าตาจุ๋มจิ๋ม ประณีตวิจิตรบรรจงในการจัดวางรูปทรงขนมสวยงาม

ขนมไทยที่นิยมทำกันทุกๆ ภาคของประเทศไทย ในพิธีการต่างๆ เนื่องในการทำบุญเลี้ยงพระ ก็คือขนมจากไข่ และมักถือเคล็ดจากชื่อและลักษณะของขนมนั้นๆ งานศิริมงคลต่างๆ เช่น งานมงคลสมรส ทำบุญวันเกิด หรือทำบุญขึ้นบ้านใหม่ ส่วนใหญ่ก็จะมีการเลี้ยงพระกับแขกที่มาในงาน เพื่อเป็นศิริมงคลของงานขนมก็จะมีฝอยทอง เพื่อหวังให้อยู่ด้วยกันยืดยาว มีอายุยืน ขนมชั้นก็ให้ได้เลื่อนขั้นเงินเดือน ขนมถ้วยฟูก็ขอให้เฟื่องฟู ขนมทองเอกก็ขอให้ได้เป็นเอก เป็นต้น

สมัยรัตนโกสินทร์ จดหมายเหตุความทรงจำของกรมหลวงนรินทรเทวี กล่าวไว้ว่าในงานสมโภชพระแก้วมรกตและฉลองวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ได้มีเครื่องตั้งสำรับหวานสำหรับพระสงฆ์ 2,000 รูป ประกอบด้วย ขนมไส้ไก่ ขนมฝอย ข้าวเหนียวแก้ว ขนมผิง กล้วยฉาบ ล่าเตียง หรุ่ม สังขยา ฝอยทอง และขนมตะไล

ในสมัยรัชกาลที่ 5 มีการพิมพ์ตำราอาหารออกเผยแพร่ รวมถึงตำราขนมไทยด้วย จึงนับได้ว่าวัฒนธรรมขนมไทยมีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรครั้งแรก ตำราอาหารไทยเล่มแรกคือแม่ครัวหัวป่าก์ เขียนโดยท่านผู้หญิงเปลี่ยน ภาสกรวงศ์ ในหนังสือเล่มนี้ มีรายการสำรับของหวานเลี้ยงพระได้แก่ ทองหยิบ ฝอยทอง ขนมหม้อแกง ขนมหันตรา ขนมถ้วยฟู ขนมลืมกลืน ข้วเหนียวแก้ว วุ้นผลมะปราง

ในสมัยต่อมาเมื่อการค้าเจริญขึ้นในตลาดมีขนมนานาชนิดมาขาย ทั้งขายอยู่กับที่ แบกกระบุง หาบเร่ และมีการปรับปรุงการบรรจุหีบห่อไปตามยุคสมัย เช่นในปัจจุบันมีการบรรจุในกล่องโฟมแทนการห่อด้วยใบตองในอดีต
การแบ่งประเภทของขนมไทยแบ่งตามวิธีการทำให้สุกได้ดังนี้

ขนมที่ทำให้สุกด้วยการกวน ส่วนมากใช้กระทะทอง กวนตั้งแต่เป็นน้ำเหลวใสจนงวด แล้วเทใส่พิมพ์หรือถาดเมื่อเย็นจึงตัดเป็นชิ้น เช่น ตะโก้ ขนมลืมกลืน ขนมเปียกปูน ขนมศิลาอ่อน และผลไม้กวนต่างๆ รวมถึง ข้าวเหนียวแดง ข้าวเหนียวแก้ว และกะละแม
ขนมที่ทำให้สุกด้วยการนึ่ง ใช้ลังถึง บางชนิดเทส่วนผสมใส่ถ้วยตะไลแล้วนึ่ง บางชนิดใส่ถาดหรือพิมพ์ บางชนิดห่อด้วยใบตองหรือใบมะพร้าว เช่น ช่อม่วง ขนมชั้น ข้าวต้มผัด สาลี่อ่อน สังขยา ขนมกล้วย ขนมตาล ขนมใส่ไส้ ขนมเทียน ขนมน้ำดอกไม้
ขนมที่ทำให้สุกด้วยการเชื่อม เป็นการใส่ส่วนผสมลงในน้ำเชื่อมที่กำลังเดือดจนสุก ได้แก่ ทองหยอด ทองหยิบ ฝอยทอง เม็ดขนุน กล้วยเชื่อม จาวตาลเชื่อม
ขนมที่ทำให้สุกด้วยการทอด เป็นการใส่ส่วนผสมลงในกระทะที่มีน้ำมันร้อนๆ จนสุก เช่น กล้วยทอด ข้าวเม่าทอด ขนมกง ขนมค้างคาว ขนมฝักบัว ขนมนางเล็ด
ขนมที่ทำให้สุกด้วยการนึ่งหรืออบ ได้แก่ ขนมหม้อแกง ขนมหน้านวล ขนมกลีบลำดวน ขนมทองม้วน สาลี่แข็ง ขนมจ่ามงกุฏ นอกจากนี้ อาจรวม ขนมครก ขนมเบื้อง ขนมดอกลำเจียกที่ใช้ความร้อนบนเตาไว้ในกลุ่มนี้ด้วย
ขนมที่ทำให้สุกด้วยการต้ม ขนมประเภทนี้จะใช้หม้อหรือกระทะต้มน้ำให้เดือด ใส่ขนมลงไปจนสุกแล้วตักขึ้น นำมาคลุกหรือโรยมะพร้าว ได้แก่ ขนมถั่วแปบ ขนมต้ม ขนมเหนียว ขนมเรไร นอกจากนี้ยังรวมขนมประเภทน้ำ ที่นิยมนำมาต้มกับกะทิ หรือใส่แป้งผสมเป็นขนมเปียก และขนมที่กินกับน้ำเชื่อและน้ำกะทิ เช่น กล้วยบวชชี มันแกงบวด สาคูเปียก ลอดช่อง ซ่าหริ่ม

ประวัติเครื่องสำอาง


เครื่องสำอางเครื่องสำอาง หมายถึง ผลิตภัณฑ์สิ่งปรุงเพื่อใช้บนผิวหนัง หรือส่วนใดส่วนหึ่งของร่างกาย โดยใช้ทา ถู นวด พ่น หรือโรย มีจุดประสงค์เพื่อทำความสะอาด หรือส่งเสริมให้เกิดความสวยงาม หรือเพื่อเปลี่ยนแปลงรูปลักษณะ คำว่า cosmetics มีรากศัพท์มาจากภาษากรีกว่า kosmetikos ซึ่งมีความหมายว่า ตกแต่งให้สวยงามเพื่อดึงดูดความ.สนใจจากผู้พบเห็น ( คำว่าkomosแปลว่า เครื่องประดับ) โดยในสมัยแรกๆนั้น ใช้เครื่องสำอางเนื่องจากความจำเป็น เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมหรือธรรมชาติ
กำเนิด และ วิวัฒนาการ เท่าที่ปรากฎในโบราณคดี สันนิษฐานว่าคงมีการใช้เครื่องหอมในพิธีศาสนา สำหรับ บูชาพระเจ้าโดยการเผา ใช้น้ำมันพืชทาตัวหรือใช้อาบศพเพื่อไม่ให้เน่าเปื่อย มีการแลกเปลี่ยนซื้อขายกันจากประเทศตะวันออก และใช้เครื่องหอมนี้ไม่ต่ำกว่า 5000 ปี เชื่อวาอียิปต์เป็นชาติแรกที่รู้จักศิลปะการตกแต่งและการใช้เครื่องสำอางและแพร่ไปถึงแลสซีเรีย บาบีโลน เปอร์เซียและกรีก เมื่อคราวที่พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชได้ยกทัพเข้ายึดประเทศอียิปต์ ประเทศในยุโรปบางส่วน ตลอดจนถึงกรีก ทำให้ความรู้เรื่องเครื่องสำอางแพร่หลาย ศูนย์การของความเจริญอยู่ที่เมืองอเล็กซานเดรีย จนถึงสมัยจูเลียส ซีซาร์รบชนะกรีก ก็ได้รับศิลปวิทยาการต่างๆมาจากกรีก ศูนย์การของศิลปวิทยาการต่างๆได้ย้ายมาอยู่ที่กรุงโรม มีการอาบน้ำหอม ในระยะที่โรมันกำลังรุ่งเรือง ซีซาร์ได้ยกกองทัพไปตีอียิปต์ซึ่งมีพระนางคลีโอพัตราเป็นราชินี รู้จักวิธีการใช้ศิลปะการตกแต่งใบหน้าและร่างกาย ทำให้การใช้เครื่องสำอางเป็นที่แพร่หลายยิ่งขึ้น ในคริสต์ศตวรรษที่ 2 Galen บิดาแห่งเภสัชกรรม กายวิภาค อายุศาสตร์และปรัชญา ได้ประดิษฐ์coldcreamขึ้นเป็นครั้งแรก ต่อมา เมื่อจักรวรรดิโรมันอ่อนกำลังลง ประเทศที่นำหน้าเรื่องเครื่องสำอางคือฝรั่งเศส และมีสเปนเป็นคู่แข่ง

ประวัติเครื่องสำอาง
การใช้เครื่องสำอางจัดเป็นศิลปะอย่างหนึ่งที่มีมาแต่สมัยโบราณ มีการค้นพบว่า มีการใช้เครื่องสำอางมาตั้งแต่สมัยอียิปต์โบราณ จีน อินเดีย และต่อมาจนถึงปัจจุบัน โดยชาวกรีกเป็นชาติแรกที่มีการแยกการแพทย์และเครื่องสำอางออกจากกิจการทางศาสนา และยังถือว่าการใช้เครื่องสำอางเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องปฏิบัติต่อร่างกายให้ถูกต้องสม่ำเสมอ เป็นกิจวัตรประจำวัน ศิลปะการใช้เครื่องสำอางและเครื่องหอมได้ถึงขีดสุดในระหว่าง 2 ศตวรรษแรกแห่งอาณาจักรโรมัน แล้วค่อยๆ เสื่อมลง และเมื่ออาณาจักรโรมันเสื่อมอำนาจลงในศตวรรษที่ 5 ศิลปะการใช้เครื่องสำอางจึงแพร่หลายเข้าสู่ทวีปยุโรป นอกจากนี้ ชาวอาหรับก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดความเจริญก้าวหน้าในการผลิตเครื่องสำอาง โดยได้มีการดัดแปลง แก้ไขส่วนผสมต่างๆ เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่มีคุณภาพดีขึ้น เช่น การใช้กรรมวิธีการกลั่นเพื่อให้มีความบริสุทธิ์สูง การใช้แอลกอฮอล์เป็นตัวทำละลาย เป็นต้น เมื่อศิลปะการใช้เครื่องสำอางได้แพร่หลายเข้าสู่ในประเทศฝรั่งเศสมากขึ้น เจ้าหน้าที่ชาวฝรั่งเศสได้พยายามเสนอให้มีการแยกกิจการด้านเครื่องสำอางไว้เฉพาะ โดยให้แยกออกจากกิจการด้านการแพทย์ เนื่องจากกิจการด้านการแพทย์และเครื่องสำอางต้องอยู่ในการควบคุมของกฎหมาย ในระหว่างปี ค.ศ. 1400 – 1500 และความพยายามก็ประสบความสำเร็จในปี ค.ศ.1600 ศิลปะการใช้เครื่องสำอางได้แยกออกมาจากกิจการด้านการแพทย์อย่างชัดเจน ต่อมาในปี ค.ศ. 1800 ได้มีการรวบรวมและแยกแยะความรู้ในด้านศิลปะการใช้เครื่องสำอางออกเป็นหลายๆ ประเภท เช่น เภสัชกร ช่างเสริมสวย นักเล่นแร่แปรธาตุ ซึ่งต้องใช้ความรู้ที่ได้มาจากเภสัชกรรมและครื่องสำอางมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับแต่ละอาชีพการผลิตเครื่องสำอางในช่วงแรกๆ นั้น ยังมีกรรมวิธีการผลิตที่ไม่แน่นอน เครื่องสำอางบางประเภทมีขายในร้านขายยา การผลิตเป็นความรู้ส่วนบุคคลที่ได้รับสืบทอดมาหรือได้จากการศึกษาค้นคว้า ลองผิดลองถูก จนถึงปลายศตวรรษที่ 19 ได้มีผู้นำวิธีการทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่เข้ามาช่วยในการผลิตแทนวิธีเก่า และเมื่อผลิตเครื่องสำอางแต่ละชนิดจะมีเครื่องหมายการค้าชัดเจน และ มีกรรม วิธีในการผลิตที่แน่นอน ทำให้เครื่องสำอางที่ผลิตขึ้นมีคุณภาพ สามารถเพิ่มรายได้ให้กับผู้ผลิต ทำให้มีการเพิ่มการผลิต และพยายามปรับปรุงคุณภาพของเครื่องสำอางให้มีคุณภาพสูงขึ้น ต่อมาได้มีการนำความรู้ทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ เข้ามาปรับปรุงคุณภาพของเครื่องสำอาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิชาเคมี ได้มีส่วนเข้ามาช่วยในการปรับปรุงคุณภาพของผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางให้มีคุณภาพสูง ในการผลิตแต่ละครั้งต้องมีส่วนประกอบที่คงที่ ได้ผลิตภัณฑ์อย่างเดียวกัน มีหลักการเลือกใช้วัตถุดิบที่ได้มาตรฐานในการผลิต และมีการตรวจสอบคุณสมบัติ ตลอดจนการเก็บรักษาผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางในปี ค.ศ. 1895 ได้มีการเปิดสอนวิชาการเครื่องสำอาง ในเมืองชิคาโก มลรัฐอิลลินอยส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นครั้งแรก ทำให้นักศึกษาได้รู้จักวิธีการใช้เครื่องสำอางชนิดต่างๆ ในการรักษาผิวหนังและเส้นผม ต่อมาการศึกษาวิชานี้ได้แพร่หลายไปอย่างรวดเร็ว

คำจำกัดความของเครื่องสำอางคำจำกัดความของเครื่องสำอาง มีมากมายหลายแบบ ขึ้นอยู่กับผู้ให้ความหมายว่ามีความต้องการสื่อหรือมีวัตถุประสงค์อย่างไรโดยมีหลักการและพื้นฐานในการให้คำจำกัดความดังต่อไปนี้
1. Cosmetics Science and Technology โดย Edward Sagarin พิมพ์ครั้งที่ 1 หน้า 4 - Articles intended to be rubbed, pour, sprinkle, or sprayed on, introduced into, or otherwise applied to the human body or any part thereof for cleansing, beautifying promoting attractiveness, or altering the appearance, and- Articles intended for use as a component of such any article, except that the term shall not include soap.
2. หนังสือมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก. 152-2518) มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเครื่องสำอาง ได้ให้คำจำกัดความเครื่องสำอางว่า เครื่องสำอางหมายถึง :- ผลิตภัณฑ์สิ่งปรุงเพื่อใช้บนผิวหนังหรือส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายมนุษย์ โดยถู ทา พ่น หรือ โรย เป็นต้น เช่นในการทำความสะอาดป้องกัน แต่งเสริมเพื่อความงาม หรือเปลี่ยนแปลงรูปลักษณะ- สิ่งใดๆ ที่ใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์สิ่งปรุงที่กล่าวมาแล้วข้างต้น
3. หนังสือพิมพ์เภสัชกรรม สมัยสยาม ปีที่สิบห้า เล่มสาม พฤษภาคม ถึง มิถุนายน พ.ศ.2505 ได้ให้คำจำกัดความว่า เครื่องสำอาง หมายถึง ผลิตภัณฑ์ทุกอย่างที่มีความตั้งใจหรือจงใจผลิตขึ้นมาสำหรับใช้กับบุคคลใดโดยตรง เพื่อความมุ่งหมายในการทำความสะอาด หรือการทำให้เกิดความสวยงามโดยเฉพาะ ภายใต้กฎหมายควบคุมอาหาร ยา และเครื่องสำอางของสหรัฐอเมริกา ความหมายรวมไปถึง ยาและสารต่างๆ ที่ใช้ในการผลิตภัณฑ์เหล่านี้ด้วย ซึ่งจะต้องถูกควบคุมตามกฎหมาย และในด้านปฏิบัติการหรือเทคนิคต่างๆ ที่จะใช้ในการผลิตเครื่องสำอาง รวมทั้งวิธีรักษาและเครื่องมือเครื่องใช้สำหรับการทำความสะอาดร่างกายและการทำให้เกิดความสวยงามที่ใช้ในร้านเสริมสวยด้วย
4. พระราชบัญญัติ เครื่องสำอาง พ.ศ.2517 เครื่องสำอางหมายถึง1. วัตถุที่มุ่งหมายสำหรับใช้ ทา ถู นวด โรย พ่น หยอด ใส่ อบ หรือด้วยอื่นใด ต่อส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกายเพื่อความสะอาด ความสวยงาม หรือส่งเสริมให้เกิดความสวยงาม ตลอดจนเครื่องประทินผิวต่างๆ ด้วย2. วัตถุที่มุ่งหมายสำหรับใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตเครื่องสำอางโดยเฉพาะ หรือ3. วัตถุอื่นที่กำหนดโดยกฎกระทรวงให้เป็นเครื่องสำอาง

คุณลักษณะเครื่องสำอาง
ในการผลิตเครื่องสำอาง มีลักษณะการเตรียมหรือการผลิตเหมือนกับการเตรียมหรือการผสมยา แต่ในกรณีของการเตรียมเครื่องสำอางจะมีลักษณะที่เฉพาะเด่นชัดที่แตกต่างจากการผลิตยาอยู่ 3 ประการ คือ1. เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีกลิ่นหอมชวนดม2. มีลักษณะสวยงาม ทั้งลักษณะของผลิตภัณฑ์ รวมถึงการบรรจุหีบห่อ3. ใช้งานได้ง่าย สะดวกต่อการพกพาเครื่องสำอางโดยทั่วไป จะต้องบอกคุณลักษณะของเครื่องสำอางนั้นๆ ไว้ ตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) เช่น ส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ วิธีใช้ ข้อควรระวัง ภาชนะและการบรรจุ รวมถึงการทดสอบ การตรวจหาปริมาณ และการวิเคราะห์ต่างๆ

ประโยชน์ของเครื่องสำอาง
1. ช่วยตกแต่งให้ผิวดูเนียนและผุดผ่องขึ้น เช่น แป้งแต่งหน้า ดินสอเขียนคิ้ว ครีมต่างๆ
2. ช่วยทำความสะอาดรักษาอนามัยและสุขภาพผิวของปากและฟัน เช่น สบู่และยาสีฟัน
3. ช่วยกลบเกลื่อนให้แลดูเป็นธรรมชาติ เช่น กลบฝ้าและไฝต่างๆ
4. ช่วยตกแต่งทรงผมให้อยู่ทรง และสวยงามตามที่ต้องการ
5. ช่วยทำให้สบายผิว แก้ความอับชื้น เช่น แป้งฝุ่นโรยตัว
6. ทำให้จิตใจสดชื่น รู้สึกผ่อนคลาย เนื่องจากกลิ่นหอมของเครื่องสำอาง

ประเภทของเครื่องสำอางเครื่องสำอาง
สามารถแบ่งได้เป็นหลายประเภท แต่โดยทั่วไปมักจะแบ่งเป็นประเภทใหญ่ๆ ได้ 2 ประเภท คือ
1. เครื่องสำอางที่ไม่ได้ใช้แต่งสีของผิว เครื่องสำอางประเภทนี้ ใช้สำหรับการทำความสะอาดผิวหนัง หรือใช้เพื่อป้องกันผิวหนังไม่ให้เกิดอันตรายจาสิ่งแวดล้อม เครื่องสำอางประเภทนี้ได้แก่ สบู่ แชมพู ครีมล้างหน้า ครีมกันผิวแตก น้ำยาช่วยกระชับผิวให้ตึง เป็นต้น
2. เครื่องสำอางที่ใช้แต่งสีผิวเครื่องสำอางประเภทนี้ ใช้สำหรับการแต่งสีของผิวให้มีสีสดสวยขึ้นจากผิวธรรมชาติที่เป็นอยู่ เช่น แป้งแต่งผิวหน้า ลิปสติก รู้ช เป็นต้น

เครื่องสำอางที่พบในท้องตลาดอาจจะแบ่งออกเป็น 10 ประเภท ดังนี้

1. เครื่องสำอางสำหรับผิวหนัง ได้แก่a. ครีมทาผิวb. ผลิตภัณฑ์ขจัดสิวc. ผลิตภัณฑ์ขจัดสีผิวและขจัดฝ้าd. ผลิตภัณฑ์ระงับเหงื่อและขจัดกลิ่นตัวe. ผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดดf. ผลิตภัณฑ์ป้องกันแมลงกัดต่อย
2. เครื่องสำอางสำหรับผมและขน ได้แก่a. แชมพูและครีมนวดผมb. ผลิตภัณฑ์ตกแต่งผมc. ผลิตภัณฑ์สำหรับโกนหนวดและกำจัดขน
3. เครื่องสำอางสำหรับแต่งตาและคิ้ว
4. เครื่องสำอางสำหรับแต่งใบหน้าa. ผลิตภัณฑ์พอกและลอกหน้าb. ผลิตภัณฑ์กลบเกลื่อนc. ผลิตภัณฑ์รองพื้นแต่งหน้าd. แป้งผัดหน้าและแป้งโรยตัว
5. เครื่องสำอางสำหรับแต่งแก้ม
6. เครื่องสำอางสำหรับแต่งปาก
7. เครื่องสำอางสำหรับทำความสะอาดผิวปาก และฟันa. ครีมล้างหน้าและครีมล้างมือb. ยาสีฟันและน้ำยาบ้วนปาก
8. เครื่องสำอางสำหรับเล็บ
9. เครื่องสำอางสำหรับเด็ก
10. ผลิตภัณฑ์น้ำหอม

อันตรายจากเครื่องสำอาง





อันตรายจาก เครื่องสำอาง

ถึงแม้ว่า เครื่องสำอาง จะเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดอันตรายค่อนข้างต่ำ แต่บางครั้งผู้บริโภคใช้ เครื่องสำอาง แล้วอาจเกิดอาการข้างเคียงอันไม่พึงประสงค์ได้ ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นบริเวณที่สัมผัสกับ เครื่องสำอาง โดยตรง อาจเกิดอาการได้ตั้งแต่ ระคายเคือง คัน แสบ ร้อน บวมแดง เป็นผื่น ผิวแห้งแตก ลอก ลมพิษ หรือมีอาการรุนแรงถึงขั้นเป็นแผลพุพอง น้ำเหลืองไหล แต่บางครั้งอาจพบความผิดปกติในบริเวณที่ไม่ได้สัมผัสกับ เครื่องสำอาง โดยตรงก็ได้ เช่น คันบริเวณเปลือกตา เนื่องจากแพ้สีทาเล็บที่ไปสัมผัสเปลือกตาโดยบังเอิญ


สาเหตุของการเกิดอาการข้างเคียงอันไม่พึงประสงค์

สาเหตุของการเกิดอาการข้างเคียงอันไม่พึงประสงค์เหล่านี้ ได้แก่

1. อันตรายจากตัวผลิตภัณฑ์ เช่น

เป็น เครื่องสำอาง ที่เก่า เสื่อมสภาพแล้ว อาจเนื่องจากผลิตมาเป็นเวลานาน หรือการเก็บรักษาไม่ดีพอ
เป็น เครื่องสำอาง ที่ไม่ปลอดภัย มีการลักลอบผสมสารห้ามใช้ จะสังเกตได้ว่ามักจะแสดงฉลากภาษาไทยไม่ครบถ้วน โดยเฉพาะไม่แสดงแหล่งผลิต หรือวันเดือนปีที่ผลิต
สูตร ส่วนประกอบ หรือกรรมวิธีผลิตไม่เหมาะสม
2. การใช้ผิดวิธี ก่อนใช้ เครื่องสำอาง ควรอ่านวิธีใช้ที่ฉลากให้เข้าใจ และปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ใช้ให้ถูกคน ถูกเวลา ในปริมาณที่เหมาะสม โดยเฉพาะถ้าเป็น เครื่องสำอางควบคุมพิเศษ หรือเครื่องสำอางควบคุม มักจะมีคำเตือนและข้อควรระวัง รวมทั้งการทดสอบการแพ้ก่อนใช้ จึงต้องใช้ด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษ
การใช้ เครื่องสำอาง ผิดวิธี ได้แก่

การโรยแป้งฝุ่นลงบนตัวทารกโดยตรง ผงแป้งจะฟุ้งกระจายไปทั่ว เมื่อเด็กสูดลมหายใจ จะได้ผงแป้งไปสะสมในปอด เป็นอันตรายต่อปอด
การใช้ เครื่องสำอาง ในปริมาณที่มากเกินไป หรือบ่อยเกินไป อาจทำให้เกิดอันตรายได้
เครื่องสำอาง ที่ระบุให้ใช้แล้วล้างออก ถ้าไม่ล้างออก ก็อาจก่อให้เกิดอันตรายได้เช่นกัน
การใช้ผิดเวลา เช่น ระบุให้ทาก่อนนอน (เพื่อป้องกันการเกิดปฏิกิริยากับแสงแดด) หากทาในตอนกลางวัน เมื่อโดนแสงแดด ก็อาจเกิดอันตรายได้
ใช้ เครื่องสำอาง แล้วไม่ปิดภาชนะบรรจุให้สนิท อาจมีฝุ่นละออง หรือเชื้อโรคลงไปปนเปื้อนได้

3. ตัวผู้บริโภคเอง เช่น

วัยของผู้ใช้ เด็ก และผู้สูงอายุ ผิวหนังจะบอบบางและแพ้ง่ายกว่าวัยอื่น
ตำแหน่งของผิวหนัง ผิวหนังบริเวณใบหน้า โดยเแพาะรอบดวงตา/ริมฝีปาก จะบอบบางกว่าบริเวณอื่น อาจเกิดการแพ้ หรือระคายเคืองได้ง่าย
การแพ้เฉพาะบุคคล เช่น แพ้น้ำหอม หรือสารกันเสีย บางชนิด
ความประมาทในการใช้เครื่องสำอาง เช่น แชมพูเข้าตาเวลาสระผม / ใช้เครื่องสำอางร่วมกับผู้อื่น แล้วติดเชื้อโรคมาด้วย / แต่งหน้าขณะอยู่ในรถ อาจเกิดอุบัติเหตุได้

บางครั้งเมื่อผู้บริโภคเลือกซื้อและใช้ เครื่องสำอาง ด้วยความระมัดระวังแล้ว ก็ยังอาจเกิดอาการข้างเคียงที่ไม่ พึงประสงค์ได้บ้าง ซึ่งอาจเกิดจากสาเหตุต่างๆ ดังนี้
1. การระคายเคือง (Irritation) เป็นปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นเมื่อร่างกายสัมผัสกับสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง (irritants) เช่น ผลิตภัณฑ์ที่มีความเป็นกรด หรือด่างสูงๆ (น้ำยาดัดผม , ผลิตภัณฑ์กำจัดขน , ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยให้ผิวหนังชั้นนอกหลุดลอกออกเร็วขึ้น) ความรุนแรงของการระคายเคืองจะขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของสาร และระยะเวลาที่สารสัมผัสกับผิว การระคายเคืองนั้นเกิดขึ้นได้กับคนทุกคน และพบได้บ่อยกว่าการแพ้
2. การแพ้ (Allergy) เป็นปฏิกิริยาที่ซับซ้อนเกี่ยวกับภูมิคุ้มกันของร่างกายของแต่ละคน จึงเป็นเรื่องเฉพาะบุคคล ผู้บริโภคอาจเกิดความผิดปกติขึ้นทันทีที่สัมผัสกับสารที่ก่อให้เเกิดการแพ้ (Allergen) หรือมีอาการภายหลังก็ได้ และผู้ที่แพ้สารใดแล้ว เมื่อสัมผัสกับสารนั้นเพียงเล็กน้อยก็จะเกิดอาการแพ้ขึ้นได้
สารที่พบว่าก่อให้เกิดการแพ้ได้บ่อยเป็นอันดับหนึ่ง คือ สารแต่งกลิ่นหอม (fragrance / perfume) รองลงมาได้แก่สารกันเสีย (preservatives) และสารป้องกันแสงแดด (sunscreens)

ขณะนี้มีการโฆษณาผลิตภัณฑ์ด้วยข้อความ "ไฮโป-อัลเลอร์เจนิก (Hypoallergenic)" หรือข้อความอื่นๆที่สื่อความหมายในทำนองเดียวกัน เช่น ผ่านการทดสอบโดยแพทย์ผิวหนัง , ผ่านการทดสอบการแพ้ (dermatologist test/ allergy test) ข้อมูลเหล่านี้มาจากผู้ประกอบธุรกิจ จึงมักจะเน้นแต่ข้อดีของผลิตภัณฑ์ เพื่อส่งเสริมการขาย โดยเฉพาะเรื่องการแพ้ เป็นเรื่องเฉพาะบุคคล ไม่มีผลิตภัณฑ์ใดที่สามารถรับประกันได้ว่าไม่ก่อให้เกิดการแพ้ ดังนั้น ผู้บริโภคพึงไตร่ตรองข้อมูลต่างๆอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจเลือกซื้อผลิตภัณฑ์

ประวัติบราวนี่




ประวัติ Brownie
Brownie

ฝรั่งเป็นชาติที่นิยมชมชอบบริโภคขนมอบ ชนิดต่างๆ มาก ประกอบกับ ช่วงสภาพอากาศหนาวเย็นกินระยะเวลาที่ยาวนาน

คุณแม่บ้านส่วนใหญ่ จึงมักเข้าครัวอบขนมอุ่นๆ จากเตาให้สมาชิกในครอบครัวได้กินร่วมกัน ขนมอบสุดคลาสสิกที่มีมาแต่นมนาน ได้แก่ เค้ก คุกกี้ และขนมปัง

แต่ในยุคหลังๆมีน้องใหม่อย่าง บราวนี่ พัฟ และพาย มาช่วยเพิ่มสีสันความหลากหลาย

บราวนี่ (brownie) ขนมชิ้นสี่เหลี่ยมสีน้ำตาลเข้ม ถูกจัดให้อยู่ในหมวดหมู่ของคุกกี้

ภาษาอังกฤษเรียกว่า sheet cookies หรือ คุกกี้แผ่น ที่มีลักษณะคล้ายเค้กช็อกโกแลตเข้มข้น แต่เนื้อแน่นกว่ามากและไม่เบาฟูเหมือนอย่างเค้ก นัยว่าเพราะใส่ผงฟูน้อย ขนมเค้กส่วนใหญ่นั้นเป็นก้อนกลม

แต่บราวนี่กลับเป็นเค้กช็อกโกแลตที่อบในถาดแบนรูปสี่เหลี่ยมสูง 1 นิ้วกว่าๆ แล้วตัดแบ่งเป็นชิ้นลักษณะสี่เหลี่ยม ขนาดพอเหมาะ

เอกลักษณ์ของบราวนี่ก็อยู่ตรงที่เนื้อแน่นและเป็นเค้กตัดนี่แหละ

แม้ว่าที่มาของบราวนี่จะไม่ชัดเจน แต่นักประวัติศาสตร์อาหารสันนิษฐานว่า เจ้าขนมรูปทรงสี่เหลี่ยมนี้เกิดขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นที่แรกตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 19 กล่าวกันว่า



บราวนี่เกิดจากความบังเอิญในการทำเค้กช็อกโกแลตโดยลืมใส่ผงฟู อบออกมาแล้วเค้กไม่ขึ้นฟู แต่กลับได้ขนมสีน้ำตาลเข้มเนื้อแน่น อันเป็นที่มาของชื่อ “brownie” นั่นเอง นับได้ว่า " ความหลงลืม ความผิดพลาดเป็นปัจจัยผลักดันความก้าวหน้า " ให้ขนมชนิดนี้ถือกำเนิดขึ้นบนโลก

ชื่อของ brownie ปรากฏขึ้นครั้งแรกบนสื่อสิ่งพิมพ์ใน Sears, Roebuck and Company Catalog เมื่อปี ค.ศ.1897

ต่อมาไม่นานก็พบว่ามีสูตรการทำบราวนี่ตามตำราอาหารต่างๆด้วย อาทิเช่น Boston Cooking-School Cook Book, The Joy of Cooking จนคนรู้จักบราวนี่แพร่หลายขึ้น เป็นที่นิยมทำกินกันตั้งแต่ ค.ศ.1920 เป็นต้นมา

วันพฤหัสบดีที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ประธานาธิบดีสาธารณรัฐฝรั่งเศส





ประธานาธิบดีสาธารณรัฐฝรั่งเศส (ฝรั่งเศส: Président de la République française) เป็นตำแหน่งสูงสุดฝ่ายอำนาจบริหารของประเทศฝรั่งเศสโดยมาจากการเลือกตั้ง และดำรงตำแหน่งเป็นทั้งประมุขแห่งรัฐ จอมทัพ ผู้รับรองรัฐธรรมนูญและผู้ปกครองร่วมอันดอร์รา
ตำแหน่งประธานาธิบดีฝรั่งเศสได้ถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อปี
พ.ศ. 2391 (สมัยสาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ 2) ซึ่งทำให้ระบอบประธานาธิบดีของประเทศฝรั่งเศสนั้น เป็นระบอบที่มีความเป็นมายาวนานที่สุดประเทศหนึ่งในทวีปยุโรป จวบจนปัจจุบัน มีผู้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวทั้งสิ้น 23 คน ซึ่งทุกคนได้พำนักในปาเลส์ เดอ เลลิเซมาแล้ว
รัฐธรรมนูญในแต่สาธารณรัฐนั้น ได้กำหนดอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบของประธานาธิบดีแตกต่างกันไป ตั้งแต่
พ.ศ. 2502 เป็นต้นมา ประเทศฝรั่งเศสอยู่ในยุคสาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ 5 ในระบอบกึ่งประธานาธิบดี โดยประธานาธิบดีฝรั่งเศสคนปัจจุบันคือ นิโกลาส์ ซาร์โกซี ซึ่งเข้าดำรงตำแหน่งเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2550


☺ อำนาจประธานาธิบดี
สาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ 5 นั้นเป็นการปกครองด้วยระบอบกึ่งประธานาธิบดี ประธานาธิบดีเองก็มีอำนาจมากพอสมควรซึ่งไม่เหมือนกับประเทศอื่นๆ ในทวีปยุโรป แม้ว่าโดยส่วนมากการควบคุมดูแลและบัญญัติกฎหมายเป็นหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีและรัฐสภา แต่ประธานาธิบดีก็มีอิทธิพลด้วย
อำนาจสูงสุดของประธานาธิบดีนั้นคือการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี แต่อย่างไรก็ตามรัฐสภาฝรั่งเศสก็มีอำนาจที่จะปลดคณะรัฐมนตรีได้ ทำให้ประธานาธิบดีเหมือนกับถูกบังคับให้เลือกนายกรัฐมนตรีที่รัฐสภาให้การสนับสนุน
เมื่อไหร่ที่เสียงส่วนมากในรัฐสภามีความเห็นทางการเมืองตรงข้ามกับประธานาธิบดี ซึ่งจะทำให้เกิดการบริหารร่วมกัน เมื่อนั้นอำนาจประธานาธิบดีจะลดน้อยลง เนื่องจากอำนาจส่วนมากจะไปขึ้นอยู่กับนายกรัฐมนตรีและรัฐสภาแทน และอาจจะไม่สนับสนุนการแต่งตั้งของประธานาธิบดีอีกด้วย
เมื่อไหร่ที่เสียงส่วนมากในรัฐสภาสนับสนุนประธานาธิบดี ประธานาธิบดีก็จะมีบทบาทมากขึ้นและมีอิทธิพลต่อนโยบายการบริหารของรัฐบาล บทบาทของนายกรัฐมนตรีจึงลดลงและอาจถูกปลดออกจากตำแหน่งหรือเปลี่ยนคณะผู้บริหารถ้าไม่เป็นที่นิยม
ตั้งแต่พ.ศ. 2545 เป็นต้นมา ประธานาธิบดีและรัฐสภามีวาระ 5 ปีและการเลือกตั้งทั้ง 2 ครั้งจะใกล้กัน ทำให้ความเป็นไปได้ของการบริหารร่วมกันนั้นมีความน้อยลง
☺ อำนาจของประธานาธิบดีมีดังนี้:
► ประธานาธิบดีประกาศกฎหมาย
► ประธานาธิบดีมีอำนาจในการยับยั้งชั่วคราว: เมื่อจะเสนอร่างกฎหมาย ประธานาธิบดีมีสิทธิที่จะเรียกร้องให้รัฐสภาพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง แต่สามารถกระทำได้ครั้งเดียวต่อกฎหมายฉบับหนึ่ง
► ประธานาธิบดีมีอำนาจในการชี้แนะให้มีการพิจารณาร่างกฎหมายต่อสภารัฐธรรมนูญก่อนการประกาศใช้
► ประธานาธิบดีมีอำนาจในการยุบสภา
► ประธานาธิบดีสามารถชี้แนะให้มีการลงประชามติกฎหมายบางประเภทหรือสนธิสัญญาภายในเงื่อนไขบางประการซึ่งนายกรัฐมนตรีและรัฐสภาต้องเห็นด้วย
► ประธานาธิบดีเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด
► ประธานาธิบดีมีอำนาจในการออกคำสั่งให้มีการใช้อาวุธนิวเคลียร์
► ประธานาธิบดีมีอำนาจในการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี แต่ไม่สามารถปลดนายกรัฐมนตรีออกได้
► ประธานาธิบดีมีอำนาจในการแต่งตั้งหรือปลดรัฐมนตรีได้ ถ้านายกรัฐมนตรีสนับสนุน
► ประธานาธิบดีมีอำนาจในการเสนอชื่อข้าราชการ (ด้วยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี)
► ประธานาธิบดีมีอำนาจในการเสนอชื่อสมาชิกสภารัฐธรรมนูญ
► ประธานาธิบดีต้อนรับทูตจากต่างประเทศ
► ประธานาธิบดีมีอำนาจในการอภัยโทษ (ไม่ใช่นิรโทษกรรม) แก่นักโทษที่ตัดสินว่ามีความผิด และสามารถลดหรือระงับคำพิพากษาได้ และนี่สำคัญเป็นอย่างยิ่งเพราะประเทศฝรั่งเศสยังมีการประหารชีวิตอยู่ แต่อย่างไรก็ตามเมื่อมีการตัดสินประหารชีวิต ประธานาธิบดีก็จะอภัยโทษโดยอัตโนมัติ ทำให้โทษลดลงเหลือเพียงจำคุกตลอดชีวิต

การตัดสินใจของประธานาธิบดีนั้น จะต้องมีการเซ็นกำกับโดยนายกรัฐมนตรี ยกเว้นการยุบสภา
☺ การนิรโทษกรรมของประธานาธิบดี
ในประเทศฝรั่งเศสนั้นมีประเพณีที่เรียกว่า การนิรโทษกรรมของประธานาธิบดี หลังจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีและรัฐสภาที่มาจากพรรคเดียวกันนั้น รัฐสภาจะมีการลงคะแนนเสียงในการประกาศกฎหมายนิรโทษกรรมให้แก่นักโทษที่กระทำผิดเล็กๆ น้อยๆ การกระทำนี้เป็นที่วิพากย์วิจารณ์เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเป็นที่เชื่อกันว่าเป็นการส่งเสริมให้มีการทำผิดกฎหมายก่อนหน้าการเลือกตั้ง อย่างไรก็ตาม การออกกฎหมายนิรโทษกรรมนี้ อาจจะเป็นการให้อำนาจประธานาธิบดีในการนิรโทษกรรมนักโทษบางคนถ้าตรงตามเงื่อนไข บางคนก็พูดกันว่า การนิรโทษกรรมนี้เป็นการลดประชากรนักโทษในคุกอีกด้วย



☺ การเลือกตั้ง
ตั้งแต่การลงประชามติในปี พ.ศ. 2543 ประธานาธิบดีฝรั่งเศสจะได้รับการเลือกตั้งโดยตรงโดยมีวาระ 5 ปี (ก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดีฝรั่งเศสมีวาระ 7 ปี ซึ่งภายหลังมาลดลงเหลือ 5 ปี ซึ่งเริ่มวาระ 5 ปี ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2545 สมัยประธานาธิบดีฌากส์ ชีรัก) ฌากส์ ชีรัก ได้รับการเลือกตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2538 และ พ.ศ. 2545 ซึ่งไม่มีข้อกำหนด ทำให้ชีรัก สามารถเป็นประธานาธิบดีต่อไปได้ แต่เขาเลือกที่จะไม่ดำรงตำแหน่งต่อไป ประธานาธิบดีคนถัดมาคือ นิโกลาส์ ซาร์โกซี ซึ่งดำรงตำแหน่งเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2550
ฟรองซัวส์ มิแตรรองด์และฌากส์ ชีรักเป็นประธานาธิบดีที่ดำรงตำแหน่งครบวาระ (14 ปี และ 12 ปี)
ผู้สมัครแต่ละคนต้องยื่นรายชื่อผู้สนับสนุนอย่างน้อย 500 คน ให้สภารัฐธรรมนูญตรวจสอบคุณสมบัติ ก่อนจะประกาศรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดี และเปิดการรณรงค์หาเสียงอย่างเป็นทางการ ผู้สนับสนุนนั้น ส่วนมากจะเป็นนายกเทศมนตรี ซึ่งจะต้องมาจาก 30 จังหวัด (département) เป็นอย่างน้อยหรือประชาชนอาศัยในต่างประเทศ และ 10% จะต้องไม่มาจากอำเภอหรือประชาชนกลุ่มเดียวกัน และผู้สนับสนุนที่ว่านั้น สามารถเสนอได้ชื่อผู้สมัครได้เพียงคนเดียวต่อหนึ่งคน
ในประเทศฝรั่งเศสนั้นมีข้าราชการที่ได้รับการเลือกตั้งแล้วกว่า 45,000 คน ประกอบด้วยนายกเทศมนตรีประมาณ 36,000 คน

☺ การสืบตำแหน่ง
เมื่อประธานาธิบดีเสียชีวิตลงหรือลาออกจากตำแหน่ง ประธานสมาชิกวุฒิสภาจะทำหน้าที่เป็นประธานาธิบดีชั่วคราว อแลง โปเอร์เป็นคนเดียวที่ได้รับตำแหน่งชั่วคราวนี้ ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2512 เมื่อชาร์ลส์ เดอ โกลล์ ลาออกจากตำแหน่งและครั้งที่ 2 เมื่อปี พ.ศ. 2517 เมื่อจอร์จ ปอมปิดูเสียชีวิตลงอย่างกะทันหัน ในสถานการณ์อย่างนี้เป็นที่สำคัญว่า ประธานสมาชิกวุฒิสภาทำหน้าที่เป็นประธานาธิบดีชั่วคราว มิใช่ประธานาธิบดีคนใหม่ จึงทำให้ไม่ต้องออกจากตำแหน่งประธานสมาชิกวุฒิสภา อย่างไรก็ตามประเทศฝรั่งเศสก็ได้ยกอแลง โปเอร์ เป็นอดีตประธานาธิบดีคนหนึ่งและยังได้ถูกจัดไว้ในทำเนียบประธานาธิบดีในเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของประธานาธิบดีฝรั่งเศสอีกด้วย
การเลือกตั้งประธานาธิบดีรอบแรกนั้นจะต้องจัดให้เรียบร้อยภายใน 20 - 35 วัน หลังตำแหน่งประธานาธิบดีว่างลง เพราะว่า 15 วันนั้น สามารถแยกการเลือกตั้งประธานาธิบดีรอบที่ 1 และ 2 ได้ นั่นหมายความว่าประธานสมาชิกวุฒิสภาจะดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีชั่วคราวได้มากที่สุดเพียง 15 วันเท่านั้น ในระหว่างที่ทำหน้าที่ประธานาธิบดีชั่วคราวนั้น จะไม่สามารถยุบสภา ชี้แนะการลงประชามติหรือเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญได้
ถ้าไม่มีประธานวุฒิสภารักษาราชการแทน อำนาจของประธานาธิบดีนั้นจะตกอยู่กับคณะรัฐมนตรี ซึ่งก็จะตกอยู่กับนายกรัฐมนตรีนั่นเอง แต่ถ้านายกรัฐมนตรีไม่สามารถรักษาราชการแทนได้แล้วไซร้ รัฐมนตรีจะทำการแทนโดยยึดตามลำดับรายชื่อในคณะรัฐมนตรี อย่างไรก็ตามที่กล่าวมาจะมีสิทธิเป็นไปได้ยากเพราะถ้าไม่มีประธานสมาชิกวุฒิสภา สมาชิกวุฒิสภาจะเสนอชื่อประธานสมาชิกวุฒิสภาคนใหม่เพื่อที่จะดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีชั่วคราวแทน


☺ สถานที่อาศัยอย่างเป็นทางการ
สถานที่อาศัยอย่างเป็นทางการของประธานาธิบดีฝรั่งเศสนั้นคือ Palais de l'Élysée ในกรุงปารีส ส่วนสถานที่อาศัยของประธานาธิบดีที่อื่นๆ ได้แก่:
• Fort de Bregançon ตั้งอยู่บริเวณตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศฝรั่งเศส เป็นสถานที่ที่ประธานาธิบดีอาศัยพักผ่อนในวันหยุด
• Hôtel de Marigny ตั้งอยู่บริเวณใกล้กับ Palais de l'Élysée เป็นสถานที่ที่ให้ข้าราชการชาวต่างประเทศพักอาศัย
• Château de Rambouillet ปกติเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมยกเว้นเมื่อมีการประชุมอย่างเป็นทางการ (น้อยครั้ง)
• Domaine National de Marly ปกติเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมยกเว้นเมื่อมีการประชุมอย่างเป็นทางการ (น้อยครั้ง)
• Domaine de Souzy-la-Briche เป็นสถานที่อาศัยแบบส่วนตัว (มิใช่ทางประวัติศาสตร์)


☻Palais de l'Élysée ทำเนียบประธานาธิบดีฝรั่งเศส

☻ตราแผ่นดิน