วันอังคารที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2552

Moi Même

Je suis gaie,curieuse de tout , sociable , volontaire , et réfléchie.


Je n'aime pas des gens qui sont timides , hypocrites , paresseux , capricieux et égoïstes.


Je suis curieuse et gaie mais Je suis timide.

วันพุธที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ท้องผูก..อย่าคิดว่าไม่สำคัญ

คนปกติจะถ่ายอุจจาระ 3 ครั้งต่อวัน ถึง 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ผู้ที่ถ่ายน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ประกอบกับการถ่ายลำบาก ต้องใช้เวลาเบ่งนานกว่าปกติ อุจจาระแข็ง หรือมีอาการเจ็บทวารหนักเวลาถ่าย ถือว่ามีอาการท้องผูก หากท้องผูกนานติดต่อกันเกิน 3 เดือน จัดว่าท้องผูกเรื้อรัง
โรคต่างๆ อาจเป็นสาเหตุของอาการท้องผูกได้ ดังนี้1.โรคของต่อมไร้ท่อและความผิดปกติของเกลือแร่ในเลือด เช่น ต่อมไทรอยด์ทำงานน้อยกว่าปกติ เบาหวานที่มีความผิดปกติของระบบประสาทอัตโนมัติ แคลเซียมในเลือดสูงกว่าปกติ2.การมีสิ่งกีดขวางในทางเดินอาหาร เช่น เนื้องอกในลำไส้ และลำไส้ตีบตัน3.ผู้ป่วยที่นอนอยู่กับเตียง ไม่ค่อยได้เคลื่อนไหว ผู้ป่วยโรคระบบประสาท4.ยาบางชนิดทำให้ลำไส้ทำงานน้อยลง เช่น ยาบำรุงเลือดที่มีธาตุเหล็ก ยาแก้ปวดกลุ่มมอร์ฟีน ยารักษาอาการทางจิตบางอย่าง ยาลดกรดที่มีเกลืออลูมิเนียมผู้ที่มีอาการท้องผูกส่วนมากมักตรวจไม่พบสาเหตุ ในกลุ่มที่ตรวจไม่พบสาเหตุนี้ ประมาณครึ่งหนึ่งเกิดจากภาวะลำไส้แปรปรวน ประมาณ 1 ใน 3 เกิดจากการเบ่งอุจจาระไม่ถูกวิธี ที่เหลือเกิดจากลำไส้เคลื่อนไหวช้ากว่าปกติภาวะลำไส้แปรปรวน เกิดจากลำไส้ทำงานไม่ปกติ บางครั้งเคลื่อนไหวมากไปก็ทำให้ท้องเสีย บางครั้งเคลื่อนไหวน้อยไปก็ทำให้ท้องผูก อาการมักเป็นๆ หายๆ ผู้ป่วยอาจมีอาการท้องผูกเป็นอาการเด่น และอาจมีอาการปวดท้องหรืออึดอัดท้องร่วมด้วย ซึ่งจะดีขึ้นเมื่อถ่ายอุจจาระ การกินอาหารที่มีกากมากขึ้น กินยาที่กระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้ที่ออกฤทธิ์เฉพาะที่ในทางเดินอาหาร หรือกินยาระบาย จะช่วยบรรเทาอาการได้ท้องผูกจากการเบ่งอุจจาระไม่ถูกวิธี 1 ใน 3 ของผู้ป่วยท้องผูกเรื้อรังไม่สามารถควบคุมกล้ามเนื้อที่ควบคุมการขับถ่ายให้คลายตัวได้ขณะถ่ายอุจจาระทำให้เกิดอาการท้องผูก ผู้ป่วยมักต้องใช้เวลาเบ่งอุจจาระนาน บางครั้งนานกว่า 30 นาที ในรายที่เป็นมากจะไม่ตอบสนองต่อยาระบาย ต้องใช้วิธีสวนทวารช่วย การสอนให้ผู้ป่วยรู้จักเทคนิคการขับถ่ายที่ถูกวิธี โดยใช้เครื่องมือพิเศษที่แสดงการทำงานของกล้ามเนื้อที่ควบคุมการขับถ่าย ช่วยให้ 60-70% ของผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นท้องผูกจากการที่ลำไส้เคลื่อนไหวช้ากว่าปกติ มักมีอาการท้องผูกเรื้อรังและต้องใช้ยาระบายเป็นประจำ ในรายที่มีอาการท้องผูกมาก และใช้ยาระบายไม่ได้ผล อาจจำเป็นต้องผ่าตัดเอาลำไส้ใหญ่ทิ้งไปวิธีดูแลตนเองเมื่อมีอาการท้องผูก1.กินอาหารที่มีกากใยมากๆ เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืช2.ดื่มน้ำมากๆ ไม่ควรดื่มกาแฟและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะจะทำให้อุจจาระแห้ง3.การออกกำลังกาย การเคลื่อนไหวร่างกายจะช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานดีขึ้น4.ฝึกขับถ่ายอุจจาระให้เป็นเวลาทุกวัน ลำไส้ใหญ่จะมีการเคลื่อนไหวทำให้เกิดความรู้สึกอยากถ่ายวันละ 1-2 ครั้ง มักเกิดขึ้นหลังตื่นนอนและหลังอาหาร หากกลั้นอุจจาระไว้ในช่วงนั้น โอกาสที่จะรู้สึกอยากถ่ายในวันนั้นอาจจะไม่เกิดขึ้นอีก จึงควรถ่ายให้เป็นเวลา โดยเฉพาะหลังตื่นนอน5.ไม่ควรทำอย่างอื่นขณะขับถ่าย เช่น อ่านหนังสือ กรณีที่เป็นส้วมชักโครก ควรนั่งโน้มตัวไปด้านหน้าเล็กน้อย เพื่อให้มีแรงเบ่งมากขึ้น6.หากจำเป็นต้องใช้ยาระบาย ควรปรึกษาแพทย์ และเริ่มใช้ยาระบายที่ช่วยให้เกิดการขับถ่ายอย่างเป็นธรรมชาติและปลอดภัยก่อน โดยเฉพาะยาที่ช่วยในการดูดน้ำเข้ามาในอุจจาระหรือลำไส้ หรือสารที่เพิ่มปริมาณกากอาหาร
ยาระบาย แบ่งเป็นกลุ่มได้ดังนี้1.กลุ่มที่เพิ่มปริมาณกากอาหารในลำไส้ เช่น ลูกพรุน รำข้าว เมล็ดแมงลัก หรือเส้นใยอาหาร ข้อควรระวังคือ ต้องให้สารเหล่านี้พองตัวในน้ำเต็มที่ก่อนรับประทาน และควรดื่มน้ำให้เพียงพอ ไม่เช่นนั้นอาจอุดตันทางเดินอาหารได้ จึงไม่เหมาะที่จะใช้ปริมาณมากในเด็กเล็ก ยากลุ่มนี้ใช้ได้ผลดีกับผู้ที่ท้องผูกเล็กน้อย ผู้ที่ท้องผูกรุนแรงมักไม่ได้ผลและทำให้เกิดอาการอึดอัดท้อง และไม่เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่หวังผลให้ถ่ายได้ภายใน 24 ชั่วโมงเนื่องจากออกฤทธิ์ช้า2.กลุ่มหล่อลื่นลำไส้ เช่น น้ำมันพาราฟิน การใช้ยานี้นานๆ จะรบกวนการดูดซึมวิตามินเอ ดี อี เค ทำให้ขาดวิตามินเหล่านี้ โดยเฉพาะเมื่อขาดวิตามินดี จะมีผลต่อการดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัส จึงห้ามใช้ในสตรีมีครรภ์และเด็กเล็ก นอกจากนี้ ถ้าสำลักยานี้เข้าปอด ส่วนประกอบของน้ำมันสามารถทำให้ปอดอักเสบรุนแรงได้ จึงห้ามใช้ในเด็กเล็กและผู้ป่วยที่อาจมีปัญหาด้านการกลืน เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยที่มีปัญหาของระบบประสาท และผู้ป่วยโรคปอดเรื้อรัง3.กลุ่มที่เพิ่มปริมาณน้ำในลำไส้ ยาที่ใช้บ่อยในกลุ่มนี้คือ แล็กตูโลส มีคุณสมบัติเป็นน้ำตาลที่ไม่สามารถดูดซึมได้ในลำไส้เล็ก ตัวยาจึงเคลื่อนไปถึงลำไส้ใหญ่แล้วถูกย่อยโดยแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ เกิดเป็นกรดอินทรีย์ตามธรรมชาติ ซึ่งจะดูดน้ำเข้ามาในอุจจาระ ทำให้อ่อนตัวขึ้น ช่วยกระตุ้นให้ลำไส้ใหญ่บีบตัวดีขึ้น ยากลุ่มนี้เหมาะสำหรับทารก เด็ก ผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ป่วยโรคตับ สตรีมีครรภ์ สตรีให้นมบุตร ยาในกลุ่มนี้อีกชนิดหนึ่งคือ มิลก์ออฟแมกนีเซีย เป็นยาที่ช่วยดูดน้ำเข้ามาในอุจจาระและลำไส้ แต่มีข้อเสียคือสารแมกนีเซียมอาจสะสมในร่างกาย ทำให้เกิดอันตรายในผู้ป่วยที่ไตทำงานไม่ปกติ จึงห้ามใช้ในผู้ป่วยโรคไต และเด็กเล็ก4.กลุ่มที่กระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ ยากลุ่มนี้ออกฤทธิ์ค่อนข้างแรงและเร็ว เช่น มะขามแขก บิสาโคดิล ควรใช้ยากลุ่มนี้เมื่อรักษาด้วยยากลุ่มอื่นไม่ได้ผล โดยเฉพาะผู้ที่มีอาการท้องผูกรุนแรง ข้อเสียของยากลุ่มนี้คือ อาจทำให้เกิดอาการปวดท้อง การใช้นานๆ อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างและการทำงานของลำไส้

วันพฤหัสบดีที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ปีแยร์-ออกุสต์ เรอนัวร์



ปีแยร์-ออกุสต์ เรอนัวร์ (Pierre-Auguste Renoir) (25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2383 - 3 ธันวาคม พ.ศ. 2462) เป็นจิตรกรชาวฝรั่งเศส เป็นที่รู้กันว่าเขาคือหนึ่งในศิลปินในกลุ่มอิมเพรสชั่นนิสม์ที่ให้ความสำคัญกับการใช้สีสันที่สะท้อนอารมณ์ความรู้สึกของศิลปินในแบบฉับพลัน งานของเรอนัวร์ ส่วนมากจะเน้นที่สวยงาม อ่อนหวานของธรรมชาติและผู้หญิง ภาพของเรอนัวร์ยังสะท้อนวิถีชีวิตและวิพากษ์ระบบศักดินาของฝรั่งเศสช่วงปลายศตวรรษที่ 18 บิดาเป็นช่างตัดเสื้อ เป็นบุตรคนที่ 6 จาก 7 คน ต่อมาในอายุ 23 ปี เรอนัวร์สมัครใจที่จะเป็นนักวาดภาพอิสระ เรอนัวร์เป็นจิตรกรที่ประสบความลำบากอยู่มากมาย เพราะเรอนัวร์เป็นผู้ที่ชอบวาดภาพเปลือย ในช่วง 1890 เป็นต้นไป เรอนัวร์จะวาดภาพเปลือยอย่างอิสระ ในช่วงที่เป็นไขข้ออักเสบ ถึงจะนั่งรถเข็นหรือเอาพู่กันมาติดมือข้างแข็งไว้ก็ตาม เขาก็ให้คนอื่นระบายภาพให้ คำว่า "ดอกไม้" คือคำสุดท้ายที่เรอนัวร์ได้พูดก่อนที่จะเสียชีวิตในขณะที่เขาจัดแบบที่เขาเขียน เรอนัวร์ได้เสียชีวิตอย่างสงบในวันที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2462

วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

สารอาหารที่ร่างกายต้องการเมื่อมีความเครียด

ร่างกายเราต้องการอาหารเหมือนกับรถยนต์ต้องการน้ำมันเพื่อใช้เป็นพลังงานในการขับเคลื่อน และน้ำมันเครื่องนั้นก็ต้องเหมาะสม เพื่อให้เครื่องยนต์ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ และมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน แต่ในความเร่งรีบของชีวิตประจำวันอาจทำให้หลายคนไม่ได้พิถีพิถันกับการเลือกอาหาร คิดแค่ว่ากินอะไรก็ได้เพื่อให้มีแรงทำงาน โดยไม่ใส่ใจว่าอาหารนั้นให้สารอาหารอื่นที่เป็นประโยชน์หรือไม่

เมื่อมีความเครียดร่างกายจะมีการนำสารอาหารหลายชนิดไปใช้ในการสร้างฮอร์โมน เพื่อช่วยในการตอบสนองต่อสถานการณ์ต่างๆ และยังมีการขับสารอาหารบางชนิดออกทางปัสสาวะมากขึ้นด้วย จึงทำให้มีความต้องการสารอาหารบางชนิดเพิ่มขึ้น และหากมีความเครียดสะสมเป็นเวลานานด้วยอีก ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายก็จะอ่อนแอ ทำให้เจ็บป่วยง่าย จึงเป็นเรื่องที่ควรรู้ถึงสารอาหารที่ร่างกายต้องการเพิ่มขึ้นเมื่อมีความเครียด
บางคนดำรงชีวิตระหว่างชั่วโมงทำงานที่เคร่งเครียดด้วยกาแฟนับสิบถ้วย ขนมหรือของว่างตามแต่จะหาได้ เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจในแต่ละวันจึงจบด้วยอาหารมื้อใหญ่ หลังจากนั้นไม่นานก็ต้องรีบเข้านอนเพื่อจะตื่นขึ้นมาทำกิจกรรมที่เร่งรีบในวันต่อไป แต่บางครั้งความเครียดที่สะสมมาทั้งวันหรืออาหารมื้อใหญ่ที่เพิ่งผ่านไป กลับส่งผลให้เกิดปัญหานอนไม่หลับ ซ้ำยิ่งทำให้เครียดมากยิ่งขึ้น หากดำรงชีวิตเช่นนี้ไปเรื่อยๆ สุขภาพคงค่อยๆ เสื่อมถอยลดลง

สารอาหารที่ร่างกายต้องการเพิ่มขึ้นเมื่อมีความเครียด
วิตามินบีชนิดต่างๆ ซึ่งมีหน้าที่โดยตรงต่อการคลายความเครียด พบมากในผักใบเขียว ข้าวกล้อง จมูกข้าวสาลี ธัญพืช นม ไข่ และอาหารทะเล
วิตามินซี ช่วยในการสร้างสารสื่อประสาทและเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ พบมากในผลไม้โดยเฉพาะผลไม้รสเปรี้ยว เช่น ส้ม มะนาว ฝรั่ง และในผัก เช่น พริก บล็อกโคลี มะเขือเทศ กะหล่ำปลี ผักใบเขียว แตงต่างๆ
วิตามินอี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ พบมากในถั่วเปลือกแข็ง งา จมูกข้าวสาลี
โปแตสเซียม ช่วยในการรักษาสมดุลของของเหลวในร่างกาย ทำให้หัวใจเต้นสม่ำเสมอ ควบคุมความดันโลหิต และจำเป็นสำหรับการส่งสัญญานประสาททุกชนิด พบมากในอาหารจากพืช เช่น ถั่วเปลือกแข็ง ถั่วเมล็ดแห้ง ธัญพืชที่ไม่ขัดสี ผลไม้แห้ง มันฝรั่ง มะเขือเทศ และผลไม้ โดยเฉพาะกล้วยและส้ม
แมกนีเซียม มีหน้าที่ช่วยในการส่งสัญญานประสาท พบมากในข้าวกล้อง ถั่วเมล็ดแห้ง และผักใบเขียว
สังกะสี มีหน้าที่ช่วยในการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน พบมากในเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ตับ ไข่แดง นม ธัญพืช และอาหารทะเล

จะเห็นว่าสารอาหารที่ร่างกายต้องการเพื่อใช้ต่อสู้กับความเครียด มีอยู่ในอาหารทั่วๆไปที่หาซื้อได้ง่าย หากท่านยังนึกไม่ออกว่าจะกินอะไรดี ก็แนะนำให้ลองดูตัวอย่างเมนูอาหารคลายเครียดด้านล่าง

ตัวอย่างเมนูคลายเครียด
อาหารเช้า น้ำเต้าหู้ใส่เครื่องโรยงาหรือจมูกข้าวสาลี + ผลไม้สด
หรือ แซนวิชทูน่า(ทำจากขนมปังโฮลวีท) + นม/โยเกิร์ตชนิดพร่องไขมัน + ผลไม้สด/น้ำผลไม้
อาหารกลางวัน ข้าวราดผัดกระเพรา + ผลไม้ปั่น/สมูทตี้
หรือ เย็นตาโฟ/บะหมี่หมูแดง + เต้าฮวยฟรุ้ตสลัด
อาหารว่างบ่าย ถั่วลิสงต้ม/อบ หรือเม็ดมะม่วงหิมพานต์อบ หรือกล้วยปิ้ง หรือผลไม้สด หรือนม/โยเกิร์ต
ชนิดพร่องไขมัน
อาหารเย็น ข้าวต้มปลา + ผลไม้สด
หรือ ข้าว + แกงส้มผักรวมใส่กุ้ง + ไข่เจียว +ผลไม้สด

อย่างไรก็ตามบางท่านอาจมีงานยุ่งจนแทบหาเวลากินไม่ได้ หรือทำงานที่ต้องเดินทางตลอด ทำให้บางช่วงอาจไม่สามารถแวะหาของกินได้ หากเป็นเช่นนี้การหาอาหารมีประโยชน์และไม่เสียง่าย ติดไว้ในที่ทำงานหรือในรถเพื่อกินรองท้องแทนขนมหวานชนิดต่างๆ อาจเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ตัวอย่างของอาหารเหล่านี้ เช่น แครกเกอร์โฮลวีท ถั่วชนิดต่างๆ นมพร่องไขมันชนิดยูเอชทีหรือสเตอริไรส์ น้ำผลไม้ชนิดยูเอชที เป็นต้น และเมื่อทำธุระต่างๆ เสร็จสิ้นแล้วก็อย่าลืมหาอาหารประเภทธัญพืชที่ไม่ขัดสี ผักใบเขียว เนื้อสัตว์ไม่ติดมันชนิดต่างๆ และผลไม้สดกินเพิ่มเติมในปริมาณที่เหมาะสม เพียงเท่านี้ท่านก็ได้รับอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ ให้พลังงานแก่ร่างกาย มีประโยชน์ช่วยในการผ่อนคลายความเครียด และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน(ทั้งนี้ควรงดอาหารหวานจัด หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เนื่องจากอาหารและเครื่องดื่มเหล่านี้มีผลทำให้เกิดการสูญเสียสารอาหารต่างๆ ตามที่กล่าวมาข้างต้น)

วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

กินดี...เซ็กส์ดี จริงหรือ?



มนุษย์เราให้ความสำคัญกับอาหารการกินมานาน และนับเป็นปัจจัยในการดำรงชีวิตที่ขาดไม่ได้ จะชั่วดีมีจนอย่างไรก็ต้องกิน ไม่ว่าจะ “กินเพื่ออยู่” “อยู่เพื่อกิน” “กินดีอยู่ดี” “กินได้กินดี” หรือ”กินบ้านกินเมือง”

มาเรื่องของเราดีกว่า จะเห็นได้ว่าระยะ 3-4 ปี ที่ผ่านมานี้ กระแสการกินเพื่อดูแลสุขภาพกำลังมาแรง ไม่ว่าจะหันไปทางไหน ก็จะเห็นว่าแทบทุกร้านอาหารมักจะชูประเด็นสำคัญในเรื่องการดูแลสุขภาพ ว่ามีสรรพคุณช่วยในการเสริมสร้างให้ร่างกายแข็งแรง ซึ่งเรื่องอาหารจะว่าเป็นแฟชั่นก็คงไม่ถูกเสียทีเดียว เพราะแฟชั่นมาเร็วไปเร็ว เปลี่ยนแปลงบ่อย แต่กับกระแสการกินเพื่อสุขภาพนั้น ดูเหมือนว่าจะเกิดขึ้นและคงอยู่ได้นาน

และในหลายๆ สรรพคุณของอาหารนั้น ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่เชื่อแน่ว่าหลายท่านคงให้ความสนใจ ก็คือสรรพคุณในเรื่องสุขภาพทางเพศนั่นเอง อันที่จริงเรื่องนี้เป็นเรื่องที่มนุษย์เราให้ความสนใจมาแต่โบราณแล้ว ลองมาดูกันครับว่า มีอาหารอะไรบ้างที่ให้ประโยชน์ต่อสุขภาพทางเพศ ซึ่งบางอย่างก็เป็นแค่อาหารพื้นๆ ธรรมดา ที่เราๆ ท่านๆ อาจนึกไม่ถึงเลยทีเดียว

อย่างแรกที่อยากแนะนำคือ “กล้วย” ผลไม้พื้นบ้านธรรมดาที่หาได้ง่ายๆ ตามตลาดและซุปเปอร์มาเก็ตทั่วไป อย่าดูถูกเจ้าผลไม้ดึกดำบรรพ์ผลสีเหลืองสวยนี้เป็นอันขาดเชียวนะ เพราะนอกจากแป้งและน้ำตาล ที่ให้พลังงานอย่างดีแล้ว กล้วยนั้นยังมีคุณประโยชน์ในเรื่องเซ็กส์ มากอย่างไม่น่าเชื่อเลยทีเดียว ในผลกล้วยอุดมไปด้วยแร่ธาตุ โปแตสเซียม ซึ่งมีส่วนสำคัญในการทำงานของกล้ามเนื้อและระบบประสาท นอกจากนี้แล้วโปแตส เซียม ยังมีส่วนในเรื่องช่วยการทำงานของหัวใจ และความดันโลหิตให้เป็นปกติด้วย

วันเสาร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ที่สุดของยานพาหนะ

รถยนต์ (Car) ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
ได้แก่ รถ The Bugatti 'Royale' หรือ 'Golden Bugatti' เป็นรถ 8 สูบ ซึ่งสร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1927 ตัวรถยาวกว่า 6.7 เมตร (22 ฟุต)

รถยนต์ที่ยาวที่สุดในโลก
ได้แก่ รถ 26 ล้อ ยาว 30.5 เมตร (100 ฟุต) ซึ่งออกแบบโดย Jay Ohrberg ที่รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ซึ่งประกอบไปด้วยสระว่ายน้ำและเตียงน้ำขนาดยักษ์

รถจักรยานคันที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ได้แก่ รถจักรยานคันที่ชื่อ 'Frankencycle' ที่ออกแบบโดย Dave Moore ในสหรัฐฯ เส้นผ่าศูนย์กลางของล้อวัดได้ 3.05 เมตร (10 ฟุต) และ สูง 3.40 (11 ฟุต 2 นิ้ว)

รถจักรยานคันที่ยาวที่สุดในโลก
ได้แก่ รถจักรยานสำหรับ 4 คนขับ สร้างในประเทศนิวซีแลนด์ วัดความยาวได้ 22.24 เมตร (72 ฟุต 11 1/2 นิ้ว)

รถจักรยานยนต์ (Motorcycle) ที่ยาวที่สุดในโลก
ได้แก่ รถจักรยานยนต์ที่มีชื่อว่า 'Big Ben' เป็นรถขนาด 250 cc ตัวถังรถยาว 7.6 เมตร (24 ฟุต 11 นิ้ว) อยู่ในประเทศออสเตรเลีย

รถโดยสาร (Bus) ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
ได้แก่ รถ DAF Super City Train buses ซึ่งมีที่นั่งสำหรับผู้โดยสาร 110 ที่ และห่วงจับจำนวน 140 ที่ในรถช่วงแรก และมีที่นั่งสำหรับผู้โดยสารจำนวน 60 ที่และห่วงจับจำนวน 40 ห่วงในรถช่วงที่สอง รถคันนี้หนัก 28 ตัน อยู่ในประเทศคองโก

รถพ่วง (Caravan) ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
ได้แก่ รถพ่วง 5 ชั้น สร้างใน ปี ค.ศ. 1990 สำหรับ Sheik Hamad Bind Hamdam AI Nahyan แห่งอาบูดาบี สาธารรัฐอาหรับเอมิเรทส์ ซึ่งยาว 20 เมตร (66 ฟุต) กว้าง 12 เมตร (39 ฟุต) และหนัก 120 ตัน มีห้องนอนพร้อมห้องน้ำ 8 ห้อง มีที่จอดรถได้ 4 คัน

รถยกบรรทุก (Fork - lift truck) ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
ได้แก่ รถยกบรรทุกของบริษัท Kalmar LMV of Lidhult ในประเทศสวีเดน มีสมรรถนะในการบรรทุกกว่า 90 ตัน

รถพยาบาล (Ambulance) ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
ได้แก่ รถพยาบาลที่ดำเนินการโดย the ACROSS Trust เป็นรถที่เดินทางข้ามทวีปยุโรป ตัวรถยาว 18 เมตร (59 ฟุต) สร้างในเบลเยี่ยมสามารถบรรทุกเจ้าหน้าที่ และผู้ป่วยได้ 44 คน

รถบรรทุกขยะ (Dumper truck) คันที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ได้แก่ รถ The Terex Titan ของบริษัท General Motors Corporation ซึ่งบรรทุกได้หนัก 317.5 ตัน ตัวรถสูง 17 เมตร (56 ฟุต) เป็นรถ 16 สูบ บรรจุน้ำมันได้ 5,910 ลิตร (1,300 แกลลอน)

รถไฟโดยสาร (Passenger train) ที่ยาวที่สุดในโลก
ได้แก่ รถไฟโดยสารของบริษัท the National Belgian Railway Company ซึ่งประกอบด้วยตู้โดยสาร 70 ตู้ ซึ่งลากจูงโดยหัวรถจักรไอน้ำหัวเดียว วัดได้ยาว 1,732.9 เมตร (1,895 หลา) มีน้ำหนักรวม 2,786 ตัน

รถไฟสินค้า (Freight train) ที่ยาวที่สุดในโลก
ได้แก่ รถไฟสาย Sishen - Saldanha railway ในอัฟริกาใต้ ซึ่งมีรถบรรทุกสินค้าพ่วง 660 คัน (แต่ละคันบรรทุกสินค้า 105 ตัน) ตัวรถยาว 7.3 กิโลเมตร (4 1/2 ไมล์) และแล่นได้ระยะทาง 861 กิโลเมตร (535 ไมล์) ในเวลา 22 ชั่วโมง 40 นาที

รถจักรไอน้ำ (Steam locomotive) ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
ได้แก่ รถจักรไอน้ำสาย the South African Raiways GMA Garratt สร้างขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1952 - 1954 มีน้ำหนักรวม 187.4 ตัน

รถกวาดหิมะ (Snow plough) คันใหญ่ที่สุดในโลก
ได้แก่ รถกวาดหิมะที่ออกแบบโดย Thomas Sedgwick รถคันนี้มีใบมีดกว้าง 9.83 เมตร (32 ฟุต 3 นิ้ว)

รถตัดหญ้า (Lawn mower) คันที่มีความกว้างมากที่สุดในโลก
ได้แก่ รถตัดหญ้าที่ชื่อ 'Big Green Machine' ของชาวนาในรัฐโอไฮโอ สหรัฐอเมริกา ซึ่งกว้าง 18 เมตร (60 ฟุต) สามารถตัดหญ้าในเนื้อที่ 1 เอเคอร์เสร็จภายใน 60 วินาที

รถขุดดิน (Excavator) คันที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ได้แก่ รถขุดดิน ซึ่งมีตัวถังหนัก 13,000 ตัน ตัวรถยาว 210 เมตร (690 ฟุต) และสูง 82 เมตร (269 ฟุต) มีเส้นผ่าศูนย์กลางของล้อ 67.88 เมตร (222 ฟุต)

เครื่องบินโดยสาร (Airliner) ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ได้แก่ เครื่องบิน Boeing 747 - 400 ของบริษัท Northwest Airlines ซึ่งมีปีกกว้าง 64.9 เมตร (213 ฟุต) มีระยะทางบิน 13,340 กิโลเมตร (8,290 ไมล์) สามารถบรรทุกผู้โดยสารได้กว่า 566 คน

เครื่องบินทิ้งระเบิด (Bomber) ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ได้แก่ เครื่องบิน The B - 52 มีลำตัวเครื่องยาว 160 ฟุต 11 นิ้ว

เครื่องบินขนส่งสินค้าที่กว้างขวางที่สุดในโลก
ได้แก่ เครื่องบิน The Airbus Super Transporter A300 - 600ST Beluga สามารถบรรทุกน้ำหนักได้ 150 ตัน ลำตัวเครื่องบินยาว 56.16 เมตร (184 ฟุต 3 นิ้ว) มีเนื้อที่สำหรับใช้บรรทุกสินค้า 37.70 เมตร (123 ฟุต 8 นิ้ว)

เฮลิคอปเตอร์ (Helicopter) ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
ได้แก่ The Russian Mil Mi - 12 เครื่องยนต์ turboshaft ใบพัดวัดได้ 67 เมตร (219 ฟุต 10 นิ้ว) ลำตัวยาว 37 เมตร (121 ฟุต 4 1/2 นิ้ว)

เฮลิคอปเตอร์ให้บริการที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
ได้แก่ The Russian Mil Mi - 26 ซึ่งมีน้ำหนักบรรทุก 56,000 กิโลกรัม (123,500 ปอนด์) ลำตัวเครื่องยาว 32 เมตร (105 ฟุต)

เรือเหาะ (Airship) ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
ได้แก่ เรือเหาะของเยอรมนี 2 ลำ ที่ชื่อ Hindenburg และ Graf Zeppelin II ทั้งสองลำมีความยาว 245 เมตร (803 ฟุต 10 นิ้ว) น้ำหนัก 213.9 ตัน เรือเหาะ Hindenburg บินเป็นครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.1936 ส่วน Graf Zeppelin II ให้บริการระหว่างปี ค.ศ. 1928 - 1939

เรือเหาะที่ยังคงใช้งานอยู่ในปัจจุบันที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
ได้แก่ เรือเหาะชื่อ the WDL 1 B ซึ่งสร้างโดยบริษัท Mulheim ประเทศเยอรมนี มีลำตัวยาว 60 เมตร (197 ฟุต)

บัลลูน (Balloon) ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
ได้แก่ บัลลูนของบริษัท Winzen Research Inc ในรัฐมินเนโซตา สหรัฐอเมริกา ซึ่งมีปริมาตรบรรจุก๊าซ 2 ล้านลูกบาศก์เมตร สูง 300 เมตร (1,000 ฟุต) แต่มันไม่ลอยขึ้นจากพื้นและโดนทำลายไปเมื่อปี 1975

เรือโดยสาร (Liners) ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
ได้แก่ เรือโดยสาร Carnival Cruise Line's Carnival Destiny ซึ่งมีลำตัวยาว 272 เมตร (893 ฟุต) และกว้าง 38 เมตร (125 ฟุต)

เรือโดยสารที่มีขนาดลำเรือยาวที่สุดในโลก
ได้แก่ เรือโดยสาร the Norway ของบริษัท Norwegian Cruise Line ลำตัวเรือยาว 315.53 เมตร (1,035 ฟุต 7 1/2 นิ้ว) มีห้องพักสำหรับลูกเรือ 900 คน และผู้โดยสาร 2,032 คน

เรือโดยสารข้ามฟาก (Ferries) ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
ได้แก่ เรือ The Silja Europa ซึ่งบริการระหว่างกรุงสต็อกโฮม ประเทศสวีเดน กับกรุงเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ ลำตัวเรือยาว 201.8 เมตร บรรทุกผู้โดยสารได้ 3,000 คน รถยนต์ 350 คัน และรถบรรทุก 60 คัน

เรือโดยสารข้ามฟากนานาชาติที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
ได้แก่ เรือ Klaipeda, Vilnius, Mukran และ Greifswald ที่สร้างในประเทศเยอรมนี ซึ่งให้บริการในทะเลบอลติก ระหว่าง Klaipeda, Lithuania และ Mukran ประเทศเยอรมนี แต่ละลำหนัก 11,513 ตัน มีลำตัวเรือ รวมดาดฟ้า 2 แห่งยาว 190.5 เมตร (625 ฟุต) และกว้าง 91.86 เมตร (301 ฟุต 5 นิ้ว)

เรือสินค้า (Cargo vessel) ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
ได้แก่ เรือบรรทุกน้ำมันที่ชื่อ the Jahre Viking น้ำหนักบรรทุก 564,763 ตัน ตัวเรือยาว 458.45 เมตร (1,504 ฟุต)

เรือสำเภา (Junk) ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
ได้แก่ เรือสำเภา Zheng He ของบริษัท Admiral Zheng He ที่ให้บริการทางทะเลมาตั้งแต่ราวปี ค.ศ. 1420 จำนวน 62 ลำ แต่ละลำมีความยาวแตกต่างกันไป ลำยาวที่สุดคือ 164 เมตร (538 ฟุต)

เรือโดยสารไฮโรฟอยล์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
ได้แก่ เรือโดยสาร Supramar PTS 150 MK IIIs หนัก 165 ตัน ที่ให้บริการระหว่างประเทศสวีเดน และเดนมาร์ก บรรทุกผู้โดยสารได้ 250 คน ความเร็ว 74 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (40 นอต)

เรือโฮเวอร์คราฟท์ (Hovercraft) ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
ได้แก่ เรือ The SRN4 Mk III ต่อในประเทศอังกฤษ มีน้ำหนัก 300 ตัน บรรทุกผู้โดยสารได้ 418 คน และรถยนต์ 60 คัน ตัวเรือยาว 56.38 เมตร (185 ฟุต) ข้ามช่องแคบในอัตราความเร็ว 65 นอต

เรือใบ (Sailing ship) ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
ได้แก่ เรือ the France II ซึ่งต่อใน Bordeaux ประเทศฝรั่งเศส มี 5 ใบเรือ วัดได้ 127.4 เมตร (418 ฟุต) เป็นเรือใบที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยสร้างกันมา แต่มันอับปางนอกฝั่ง New Caledonia ในทะเลแปซิฟิกใต้ เมื่อปี ค.ศ.1922

เรือใบยนต์ที่มีขนาดยาวที่สุดในโลก
ได้แก่ เรือ Club Med 1 ที่ต่อในฝรั่งเศส มีเสา 5 เสา ลำตัวเรือยาว 187 เมตร (613 ฟุต) ควบคุมใบเรือด้วยคอมพิวเตอร์ บรรทุกผู้โดยสารได้ 425 คน

เรือยอร์ช (Yacht) ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
ได้แก่ เรือ Saudi Arabian royal yacht ชื่อ Abdul Aziz ที่ต่อในประเทศอังกฤษ เมื่อปี ค.ศ. 1987 ลำเรือยาว 147 เมตร (482 ฟุต) มีมูลค่ากว่า 100 ล้านเหรียญสหรัฐ (61 ล้านปอนด์)

เรือยอร์ชส่วนตัวที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
ได้แก่ เรือ Alexander ซึ่งยาว 120 เมตร (400 ฟุต) เดิมเป็นเรือเฟอรี่ แต่ดัดแปลงมาเป็นเรือยอร์ช เมื่อปี ค.ศ. 1986

เรือรบ (Battleships) ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
ได้แก่ เรือรบของญี่ปุ่น ชื่อ Yamato และ Musashi ซึ่งมีน้ำหนักบรรทุก 67,884 ตัน ลำตัวเรือยาว 263 เมตร (863 ฟุต) ประกอบไปด้วย อาวุธประจำเรือ คือ ป้อมปืน 3 ป้อม ปืนลำกล้องขนาด 460 มิลลิเมตร 9 กระบอก ปืนแต่ละกระบอกหนัก 164.6 ตัน ลำกล้องยาว 22.8 เมตร (75 ฟุต)

เรือรบบรรทุกเครื่องบินที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ได้แก่ เรือ USS Nimitz ของกองทัพเรือสหรัฐฯ ลำตัวเรือยาว 332.9 เมตร (1,092 ฟุต) ดาดฟ้ามีเนื้อที่ 4 1/2 เอเคอร์ เร่งความเร็วได้กว่า 56 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (30 นอต) มีระวางขับน้ำ 91,400 ตัน

เรือรบ (Warship) ที่แล่นเร็วที่สุดในโลก
ได้แก่ เรือ US Navy hovercraft ซึ่งมีลำตัวเรือยาว 23.7 เมตร (78 ฟุต) เร่งความเร็วได้ถึง 170 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (91.9 นอต)

เรือดำน้ำ (Submarine) ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
ได้แก่ เรือ the Russian Typhoon ระวางขับน้ำ 26,500 ตัน ตัวเรือยาว 171.5 เมตร (562 ฟุต 8 นิ้ว)

เรือดำน้ำที่มีความเร็วที่สุดในโลก
ได้แก่ เรือ The Russian Alpha เป็นเรือดำน้ำพลังนิวเคลียร์ มีความเร็วกว่า 74 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (40 นอต)

รถถังที่แล่นเร็วที่สุดในโลก
ได้แก่ the British Scorpion ซึ่งสามารถเร่งความเร็วได้ถึง 80 กิโลเมตรต่อ

วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เคล็ดลับ วิธีแก้นิสัยขี้ลืม ด้วยตัวเอง แบบง่ายๆ

ตั้งสมาธิ สาเหตุ หนึ่งที่ทำให้หลงลืมบ่อยเพราะไม่มีสมาธิ หรือมีสารพัดเรื่องเข้ามาแทรกแซงอยู่ตลอดเวลา อย่าให้มีอะไรมากวนสมาธิบ่อยนัก จัดเวลาช่วงหนึ่งงดรับโทรศัพท์และติดป้ายห้ามรบกวนไว้ที่โต๊ะ หาเวลานั่งเงียบๆ หลับตา หายใจเข้าช้าๆ เพื่อให้เกิดความสงบ
จดโน้ต ถ้าทำงานที่มีความซับซ้อนหรือมีหลายงาน ควรรีบโน้ตสั้นๆ ว่าจะทำอะไรต่อไป ส่วนที่ชอบลืมแล้วลืมอีกควรจดโน๊ตต่างๆ เพื่อช่วยเตือนความจำอีกที
ใส่ใจ การ ที่คนเราลืมอะไรบ่อยๆ อาจะเป็นเพราะไม่ได้ใส่ใจในเรื่องนั้น ถ้าใครพูดอะไรด้วยแล้วลืม หรือจำชื่อคนไม่ค่อยได้ ลองหันมาสนใจตั้งใจฟังสักนิด ก็จะช่วยให้จำได้ดีขึ้น
ท่องจำ การท่องเป็นวิธีช่วยจำที่ตรงไปตรงมาที่สุด เด็กนักเรียนจำคำศัพท์ต่างๆ ได้ดีขึ้น เพราะท่องจำเนี่ยแหละ ถ้าหมั่นท่องสิ่งที่ต้องทำบ่อยๆ ได้จากการฟัง ได้ดีขึ้น
พูดออกเสียง เคยสังเกตไหมว่าเราสามารถจดจำเรื่องต่างๆ ได้จากการฟัง การพูด ออกมาทำให้เราได้ยินเสียงของตัวเอง ซึ่งจะช่วยให้จำง่ายขึ้น
พูดคุยหรือเล่าให้คนอื่นฟัง ก็เป็นการช่วยจำทางหนึ่ง และการเล่าให้คนอื่นฟังรู้เรื่อง ตัวเราเองต้องเข้าใจเรื่องนั้นอย่างดีและจำได้ดี ถ้าอยากจำเรื่องที่ประชุม สัมมนา หรืออบรมได้ดีขึ้นลองพูดคุยหรือเล่าให้เพื่อนฟัง
ทำ mind mapping ถ้า จะทำโครงการต่างๆ ลองเริ่มจากการเขียนแผนผังใส่หัวข้อต่างๆ ลงไป มีหัวข้อหลักและรายละเอียดด้วยก็จะทำให้เห็นภาพรวมทั้งหมดและช่วยจำได้ ที่สำคัญนอนหลับให้พอ ถ้านอนเต็มอิ่มก็จะช่วยให้จำดีขึ้น

วันพุธที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2552

ว่ากันด้วยเรื่องของ แคลเซี่ยม





แคลเซียมเป็นส่วนประกอบสำคัญของกระดูก ในผู้ที่สูงอายุหรือผู้หญิงที่หมดประจำเดือนจะเกิดการสลายกระดูกเร็วกว่าปกติ เกิดภาวะกระดูกพรุน หรือ osteroporosis ได้ง่าย อันเป็นสาเหตุของ กระดูกหักที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ ที่ได้รับการกระทบกระแทก หรือหกล้ม เช่น กระดูกสะโพกหัก, กระดูกบริเวณข้อมือ, หรือกระดูกสันหลัง ทำให้หลังโกง เป็นต้น ตามความเป็นจริงแล้ว การป้องกันหรือรักษาภาวะกระดูกพรุน โดยเฉพาะ สำหรับผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนที่ดีที่สุด ได้แก่ การให้ฮอร์โมนทดแทน ซึ่งนอกจากจะช่วยเรื่องกระดูกได้ดีกว่ายาอื่นแล้ว ยังลดไขมัน และเชื่อว่าป้องกัน โรคความจำเสื่อม อัลไซเมอร์ (Alzheimer disease) ได้ด้วย

(จากการสังเกตว่าผู้ป่วยชนิดนี้เป็นผู้ชายเสียส่วนใหญ่) แต่ข้อเสียคือ จะทำให้มีประจำเดือนอีกและควรระวังใน ผู้ที่มีความเสี่ยงสูงต่อมะเร็งเต้านม

การให้แคลเซียมทดแทน ก็อาจช่วยได้บ้าง แต่วิธีที่จะให้แคลเซียมเสริมที่ดีที่สุด คือควรเริ่มตั้งแต่ช่วงวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ ซึ่งทำให้ร่างกายมีเนื้อกระดูกมาก ซึ่งจะทำให้เสี่ยงต่อกระดูกผุในวัยชราน้อยลง

การให้แคลเซียมหลังหมดประจำเดือนไปแล้ว มีประโยชน์บ้างเหมือนกัน แต่ไม่มากเท่ากับในช่วงอายุที่ว่า สำหรับผู้ชาย การเกิดโรคจากกระดูกพรุน พบได้น้อยกว่า เนื่องจากเนื้อกระดูกมีมากกว่าแต่อาจเกิดได้เมื่ออายุมากเหมือนกัน ดังนั้นควรป้องกันโดยเสริมแคลเซียมตั้งแต่ เนิ่น ๆ ครับ

อาหารที่แคลเซียมสูง ได้แก่ เนื้อสัตว์, ปลาเล็กที่กินได้ทั้งตัว, นม หรือใครจะซื้อแคลเซียมกินก็ได้ มีขายอยู่มากมาย นอกจากนี้ต้องออกกำลังกายที่ลงน้ำหนัก เช่นเดิน , วิ่ง จะดีกว่าว่ายน้ำ เพราะช่วยเสริมความแข็งแรงของกระดูกได้ดีกว่า

วันอังคารที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2552

เรื่องน่ารู้ คำว่าเลิกแบบไหน สะเทือนใจหนุ่มๆที่สุด


เลิกกันเหอะ ตัวเองดีเกินไป : ดีเกินไป คำบอกเลิกโง่ๆ เธอไม่ชอบคนดี แปลว่าชอบคนเถื่อนๆ พูดจาหยาบคาย ใช้กำลัง ชอบแบบนั้นช่ายป่ะ งั้นก็อวยพรให้ได้แฟนใหม่ เป็นโจรหรือฆาตกรแล้วกัน
เลิกกันเหอะ ตัวเองเอาแต่ทำงาน ไม่มีเวลาให้เค้าเลย : ถามหน่อย ตอนเธอโสดๆ เธอฝันอยากได้แฟนแบบไหน เป็นคนขยัน มีการมีงานดีๆ ทำ มีครอบครัวที่อบอุ่น มีบ้านสวยๆ มีรถดีๆ ถ้าพวกเราไม่ขยันทำงาน บ้างาน จะมีอย่างที่เธอหวังไหม เคยรู้ไหม แต่งงานเราต้องใช้เงินสดเป็น 1,000,000 ขอเน้น เงินสด 555
เราห่างกันสักพักเหอะ ที่รัก : จะห่างไปไหน จะไปไหน ผมไม่โง่นะครับ มีคนใหม่มาจีบอะซิ กลัวเราจะจับได้ อย่ามาทำเป็นเนียนด้วยคำพูดคลาสสิกพวกนี้เลย ไม่เคยได้ยินเหรอ เกิดเป็นคู่กัน ไม่ใช่ห่างกัน เรารู้ว่าที่อยากห่าง เพราะอยากมีเวลาไปอยู่กันเด็กใหม่มากกว่า

วันจันทร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2552

เรือที่ใหญ่ที่สุดในโลก


โอ้! ใหญ่กว่านี้คงไม่มีอีกแล้ว ... เมื่อคุณได้เห็นเรือโดยสารของ บริษัท Royal Caribbean International ที่มีชื่อว่า MS Freedom of the Seas!

"MS Freedom of the Seas" ถือว่า เป็นเรือโดยสารที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยขนาดความกว้างโดยรวมทั้งหมด 338.77 เมตร สูง 63.7 เมตร มีระเบียงทั้งหมด 15 ชั้น สามารถรองรับผู้โดยสารได้มากกว่า 4,300 คน และมีพนักงานคอยบริการอีกมากกว่า 1,300 คน โอ้! สุดยอดจริงๆ ...

ยัง! . . .ยังไม่หมดเท่านี้ ความยิ่งใหญ่ของเรือ MS Freedom of the Seas ยังมีความน่าทึ่งให้คุณตะลึงอีกเพียบ เพราะนอกจากยิ่งใหญ่ไปด้วยขนาดแล้ว เรือลำนี้ยังเต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย ทั้ง สระว่ายน้ำ, สวนน้ำ, ร้านค้าปลอดภาษี, ผับ, ลานสเกตน้ำแข็ง, สนามบาสเกตบอล หรือแม้แต่ สนามกอล์ฟ โดยรวมแล้วมีขนาดใหญ่โตกว่าเรือ Titanic ซะอีก!

เค้าบอกว่า เรือยักษ์ลำนี้สูบน้ำมันถึงชั่วโมงละ 28,000 แกลลอน และเสียค่าใช้จ่ายตกวันละ 1 ล้านดอลล่าร์...โอ้วว…พระเจ้า ทำไมค่าน้ำมันมันแพงแบบนี้ขอออกตัวก่อนนะครับได้มาจากwww.mthai.com

วันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2552

เด็กไม่เอาถ่าน คำนี้มีที่มาจากอะไร?

เด็กที่วันๆ เอาแต่เล่นเกมส์ออนไลน์ ไม่อ่านหนังสือเรียน การบ้านก็ไม่ทำ งานบ้านก็ไม่เคยคิดจะหยิบจับช่วยเหลือพ่อแม่ ทานอาหารแล้วไม่รู้จักล้างจานชาม เหล่านี้ล้วนเป็นตัวอย่างพฤติกรรมของ "เด็กไม่เอาถ่าน"

ทำไมจึงเรียก "เด็กไม่เอาถ่าน" คาดกันว่าคำนี้มีที่มาจากคำเดิม คือ "เหล็กไม่เอาถ่าน" เพราะในสมัยก่อนนั้น การหลอมเหล็กหรือตีอาวุธจากเหล็กให้แข็งแกร่งนั้น จำเป็นต้องใช้ถ่านในการก่อเปลวไฟจนลุกโชน เพื่อให้ความร้อนแก่เหล็ก แล้วถ่านหรือคาร์บอนจะแทรกตัวเข้าไปอยู่ในเนื้อเหล็กหลังจากการถลุง ถ้าเหล็กไม่มีถ่านผสมอยู่เลย เหล็กนั้นจะมีคุณภาพต่ำ ไม่แข็งและเหนียวพอที่จะเรียกว่า เหล็กกล้า แต่หากมีมากเกินไปจะทำให้เหล็กเปราะ เหล็กที่ดีควรมีคาร์บอนเข้าไปผสมอยู่ประมาณ 0.1 - 1.8%

ช่างตีอาวุธจากเหล็กในสมัยโบราณ จำเป็นต้องคิดค้นหากลวิธี เพื่อขจัดปัญหาดาบหัก เพราะแสดงถึงกรรมวิธีการผลิตที่ไม่ดีทำให้เหล็กไม่เอาถ่าน จนกลายเป็นคำพูดติดปาก เปรียบเทียบนิสัยคนกับอาวุธว่า "เหล็กไม่เอาถ่าน"

วันเสาร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2552

ที่สุดในโลกสัตว์ ภาค 1

กบ (Frog) กบที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
คือ กบยักษ์อัฟริกันหายาก พันธุ์ Bullfrog ตัวที่ใหญ่ที่สุด ชื่อ Goliath พบที่แม่น้ำ Sanaga River ประเทศ แคเมอรูน มีลำตัวยาว 36.83 เซนติเมตร และหนัก 3.66 กิโลกรัม

กบที่กระโดดได้ไกลที่สุดในโลก
คือ กบพันธุ์ a South African sharp - nosed frog ที่มีชื่อเรียกว่า Santjie มันกระโดดได้ไกล 10.3 เมตร (33 ฟุต 5 1/2 นิ้ว)

กบที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก
คือ กบพันธุ์ Cuba ซึ่งเมื่อโตเต็มที่จะมีลำตัวยาวเพียง 0.85 - 1.2 เซนติเมตร

กบที่มีพิษร้ายแรงที่สุดในโลก
คือ กบชื่อ the golden poison - arrow ที่พบทางตอนใต้ และตอนกลางของสหรัฐฯ มีสีฉูดฉาด ผิวของมันมีพิษถึงตาย จนนักวิทยาศาสตร์ต้องใส่ถุงมือหนาๆ ทุกครั้งที่จะถูกต้องตัวมัน

กระต่ายที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก
คือ กระต่ายพันธุ์ The Netherland dwarf และ The Polish dwarfเมื่อโตเต็มที่จะหนักเพียง 0.9 - 1.13 กิโลกรัม

กระต่ายที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
คือ กระต่าย French lop doe ที่นำออกแสดงในงาน the Reus Fair ในประเทศสเปน มันหนัก 12 กิโลกรัม (26 ปอนด์ 7 ออนซ์)

กระต่ายที่มีหูยาวที่สุดในโลก
คือ กระต่ายพันธุ์ sootyfawn English lop ที่ชื่อ "Toby II" หูของมันวัดได้ยาว 74.3 เซนติเมตร กว้าง 18.7 เซนติเมตร

กวาง (Deer) ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
คือ กวางมูส (An Alaskan moose) วัดลำตัวได้ยาว 7 ฟุต 8 นิ้ว หนัก 1,800 ปอนด์

กวางที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก
คือ The smallest true deer พบในประเทศชิลีและอาร์เจนตินา มันสูงเพียง 13 - 15 นิ้ว และหนัก 14 - 18 ปอนด์

แกะ (Sheep) ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
คือ แกะพันธุ์ Suffolk ram หนัก 247.2 กิโลกรัม (545 ปอนด์) และสูง 1.09 เมตร (43 นิ้ว)

แกะที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก
คือ แกะพันธุ์ the Ouessant ในประเทศฝรั่งเศส ซึ่งหนัก 13 - 16 กิโลกรัม (29 - 35 ปอนด์) สูง 45 - 50 เซนติเมตร (1 ฟุต 6 นิ้ว - 1 ฟุต 8 นิ้ว)

ไก่ (chicken) ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
คือ ไก่พันธุ์ White Sully ซึ่งเป็นพันธุ์ผสมระหว่างพันธุ์ Rhode Island Reds กับพันธุ์พื้นเมือง มันหนัก 10 กิโลกรัม (22 ปอนด์)

คางคก (Toad) ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
คือ คางคกพันธุ์ the cane or marine toad พบในเขตร้อนของอเมริกาใต้ และที่รัฐ Queensland ประเทศออสเตรเลีย ที่มีลำตัวเมื่อโตเต็มที่ยาว 53.9 เซติเมตร (1 ฟุต 9 1/4 นิ้ว) และหนัก 2.65 กิโลกรัม

คางคกที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก
คือ คางคกพันธุ์ the sub - species Bufotaitanus beiranus of Africa ซึ่งมีลำตัวยาวเพียง 24 มิลลิเมตร (1 นิ้ว)

ค้างคาว (Bat) ที่มีปีกกว้างที่สุดในโลก
คือ ค้างคาว Bismarck flying fox ที่อาศัยอยู่แถบหมู่เกาะบิสมาร์คและนิวกินี ปีกของมันวัดได้กว้าง 5 ฟุต 5 นิ้ว

งู (Snake) ที่มีลำตัวยาวที่สุดในโลก
คือ งูเหลือม (Python) ที่พบที่เกาะ Celebes ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อปี 1912 วัดลำตัวได้ยาว 10 เมตร (32 ฟุต 9 1/2 นิ้ว)

งูที่มีน้ำหนักมากที่สุดในโลก
คือ งู the Anaconda ที่พบในเขตร้อนในทวีปอเมริกาใต้ และที่ Trinidad มีน้ำหนักเกือบ 227 กิโลกรัม (500 ปอนด์)

งูที่มีพิษที่มีลำตัวสั้นที่สุดในโลก
คือ งูแคระ the namaqua dwarf adder พบในประเทศนามิเบีย วัดได้ยาว 8 นิ้ว

งูที่มีลำตัวสั้นที่สุดในโลก
คือ งูเส้นด้าย (thread snake) ซึ่งเป็นงูที่หายากที่สุด พบเฉพาะในเกาะ 3 เกาะ แถบทะเลคาริบเบียน คือ เกาะ St. Lucia, Martinique และ Barbados ตัวที่ยาวที่สุดยาว 108 มิลลิเมตร (4 1/4 นิ้ว)

งูที่เลื้อยได้เร็วที่สุดในโลก
คือ งู black mamba พบในเขตร้อนทางตะวันออกของอัฟริกา ในพื้นที่ราบมันสามารถเลื้อยได้ความเร็วราว 16 - 19 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (10 - 12 ไมล์ต่อชั่วโมง)

งูที่หายากที่สุดในโลก
คือ งูเหลือม 2 ชนิดที่มีถิ่นกำเนิดแถบเกาะ Mauritius คือพันธุ์ the Round Island burrowing boa (ซึ่งชนิดนี้อาจจะสูญพันธุ์ไปแล้ว)

งูมีพิษ (Venomous snake) ที่มีลำตัวยาวที่สุดในโลก
คือ งูเห่า (The King cobra) ที่พบในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอินเดีย มีความยาวเฉลี่ย 3.65 - 4.5 เมตร (12 - 15 ฟุต)

งูมีพิษที่มีขนาดใหญ่และมีน้ำหนักมากที่สุดในโลก
คือ The eastern diamondback rattlesnake พบทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐฯ วัดลำตัวได้ยาว 7 ฟุต 9 นิ้ว หนัก 34 ปอนด์

งูมีพิษที่มีเขี้ยวยาวที่สุดในโลก
คือ งู gaboon viper พบในเขตร้อนของอัฟริกา ชนิดที่มีลำตัวยาว 6 ฟุต วัดเขี้ยวของมันได้ยาวเกือบ 2 นิ้ว

จระเข้ที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก
คือ จระเข้พันธุ์ the dwarf caiman พบทางตอนเหนือของทวีปอเมริกาใต้ ตัวเมียที่มีความยาวมากที่สุดคือ 1.2 เมตร (4 ฟุต) และตัวผู้ที่โตเต็มที่ยาวราว 1.5 เมตร (4 ฟุต 11 นิ้ว)

จระเข้น้ำเค็ม (Saltwater crocodile) ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
คือ จระเข้ที่พบในรัฐ Orissa ประเทศอินเดีย มี 4 พันธุ์ด้วยกัน ซึ่งตัวที่ยาวที่สุดวัดได้ยาวกว่า 7 เมตร (23 ฟุต)

จิ้กจก (Lizard) ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
คือ มังกร Komodo dragon ที่พบบนเกาะ Rintja, เกาะ Padar และเกาะ Flores ในประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งมีความยาวเฉลี่ย 2.25 เมตร (7 ฟุต 5 นิ้ว) และหนักราว 59 กิโลกรัม (130 ปอนด์)

จิ้กจกที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก
คือ a tiny gecko ในเกาะ Virgin Gorda ที่พบในปี ค.ศ. 1964 ตัวที่ใหญ่ที่สุดวัดความยาวได้ 18 มิลลิเมตร

จิ้กจกที่มีพิษร้ายแรงที่สุดในโลก
คือ จิ้กจกพันธุ์ The Gila monster เป็นจิ้กจกมีสีสันสดใสที่พบในเม็กซิโกและทางตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกา พิษของมันอยู่ที่ฟัน

จิ้งจกที่มีขนาดยาวที่สุดในโลก
คือ The Salvadori หรือ Papuan monitor ในปาปัว นิวกินี วัดลำตัวได้ยาว 4.75 เมตร (15 ฟุต 7 นิ้ว)

จิ้งจกที่วิ่งเร็วที่สุดในโลก
คือ a spiny - tailed iguana ที่พบในประเทศ Costa Rica มันวิ่งได้ระยะทาง 34.9 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (21.7 ไมล์ต่อชั่วโมง)

จิงโจ้ (Kangaroo) ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
คือ จิงโจ้แดงตัวผู้ (The male red kangaroo) มีทางตะวันออกของออสเตรเลีย เมื่อยืนวัดได้สูง 5 ฟุต 11 นิ้ว เมื่อวัดจากหัวถึงหางรวมความสูง 9 ฟุต 4 นิ้ว และมีน้ำหนักถึง 198 ปอนด์

จิงโจ้ที่กระโดดได้ไกลที่สุดในโลก
คือ จิงโจ้แดง (The red kangaroo) เพศเมีย มันกระโดดได้ไกลถึง 42 ฟุต

ช้าง (Elephant) ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด
คือ ช้างอัฟริกัน (African bush elephant) เพศผู้ วัดขนาดลำตัวได้ยาว 13 ฟุต 8 นิ้ว มีน้ำหนัก 13.5 ตัน

ช้างที่ตั้งท้อง (Gestation) นานที่สุดในโลก
คือ ช้างเอเชีย ซึ่งเฉลี่ยกินเวลา 609 วัน (กว่า 20 เดือน) อัตราสูงสุดที่เคยบันทึกไว้คือ 760 วัน

ช้างที่มีงา (Tusk) ยาวที่สุดในโลก
คือ ช้างพันธุ์อัฟริกา วัดจากงาคู่หนึ่งที่เก็บรักษาไว้ที่สมาคมสัตวศาสตร์แห่งนครนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา งาข้างขวาวัดได้ยาว 11 ฟุต 5 นิ้ว และงาซ้ายวัดได้ 11 ฟุต มีน้ำหนักรวม 293 ปอนด์

ไดโนเสาร์ที่มีกรงเล็บ (claws) ใหญ่ที่สุดในโลก
คือ ไดโนเสาร์ The therizinosaurids (

วันศุกร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2552

ที่สุดในโลกสัตว์

กบ (Frog) กบที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
คือ กบยักษ์อัฟริกันหายาก พันธุ์ Bullfrog ตัวที่ใหญ่ที่สุด ชื่อ Goliath พบที่แม่น้ำ Sanaga River ประเทศ แคเมอรูน มีลำตัวยาว 36.83 เซนติเมตร และหนัก 3.66 กิโลกรัม

กบที่กระโดดได้ไกลที่สุดในโลก
คือ กบพันธุ์ a South African sharp - nosed frog ที่มีชื่อเรียกว่า Santjie มันกระโดดได้ไกล 10.3 เมตร (33 ฟุต 5 1/2 นิ้ว)

กบที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก
คือ กบพันธุ์ Cuba ซึ่งเมื่อโตเต็มที่จะมีลำตัวยาวเพียง 0.85 - 1.2 เซนติเมตร

กบที่มีพิษร้ายแรงที่สุดในโลก
คือ กบชื่อ the golden poison - arrow ที่พบทางตอนใต้ และตอนกลางของสหรัฐฯ มีสีฉูดฉาด ผิวของมันมีพิษถึงตาย จนนักวิทยาศาสตร์ต้องใส่ถุงมือหนาๆ ทุกครั้งที่จะถูกต้องตัวมัน

กระต่ายที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก
คือ กระต่ายพันธุ์ The Netherland dwarf และ The Polish dwarfเมื่อโตเต็มที่จะหนักเพียง 0.9 - 1.13 กิโลกรัม

กระต่ายที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
คือ กระต่าย French lop doe ที่นำออกแสดงในงาน the Reus Fair ในประเทศสเปน มันหนัก 12 กิโลกรัม (26 ปอนด์ 7 ออนซ์)

กระต่ายที่มีหูยาวที่สุดในโลก
คือ กระต่ายพันธุ์ sootyfawn English lop ที่ชื่อ "Toby II" หูของมันวัดได้ยาว 74.3 เซนติเมตร กว้าง 18.7 เซนติเมตร

กวาง (Deer) ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
คือ กวางมูส (An Alaskan moose) วัดลำตัวได้ยาว 7 ฟุต 8 นิ้ว หนัก 1,800 ปอนด์

กวางที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก
คือ The smallest true deer พบในประเทศชิลีและอาร์เจนตินา มันสูงเพียง 13 - 15 นิ้ว และหนัก 14 - 18 ปอนด์

แกะ (Sheep) ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
คือ แกะพันธุ์ Suffolk ram หนัก 247.2 กิโลกรัม (545 ปอนด์) และสูง 1.09 เมตร (43 นิ้ว)

แกะที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก
คือ แกะพันธุ์ the Ouessant ในประเทศฝรั่งเศส ซึ่งหนัก 13 - 16 กิโลกรัม (29 - 35 ปอนด์) สูง 45 - 50 เซนติเมตร (1 ฟุต 6 นิ้ว - 1 ฟุต 8 นิ้ว)

ไก่ (chicken) ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
คือ ไก่พันธุ์ White Sully ซึ่งเป็นพันธุ์ผสมระหว่างพันธุ์ Rhode Island Reds กับพันธุ์พื้นเมือง มันหนัก 10 กิโลกรัม (22 ปอนด์)

คางคก (Toad) ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
คือ คางคกพันธุ์ the cane or marine toad พบในเขตร้อนของอเมริกาใต้ และที่รัฐ Queensland ประเทศออสเตรเลีย ที่มีลำตัวเมื่อโตเต็มที่ยาว 53.9 เซติเมตร (1 ฟุต 9 1/4 นิ้ว) และหนัก 2.65 กิโลกรัม

คางคกที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก
คือ คางคกพันธุ์ the sub - species Bufotaitanus beiranus of Africa ซึ่งมีลำตัวยาวเพียง 24 มิลลิเมตร (1 นิ้ว)

ค้างคาว (Bat) ที่มีปีกกว้างที่สุดในโลก
คือ ค้างคาว Bismarck flying fox ที่อาศัยอยู่แถบหมู่เกาะบิสมาร์คและนิวกินี ปีกของมันวัดได้กว้าง 5 ฟุต 5 นิ้ว

งู (Snake) ที่มีลำตัวยาวที่สุดในโลก
คือ งูเหลือม (Python) ที่พบที่เกาะ Celebes ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อปี 1912 วัดลำตัวได้ยาว 10 เมตร (32 ฟุต 9 1/2 นิ้ว)

งูที่มีน้ำหนักมากที่สุดในโลก
คือ งู the Anaconda ที่พบในเขตร้อนในทวีปอเมริกาใต้ และที่ Trinidad มีน้ำหนักเกือบ 227 กิโลกรัม (500 ปอนด์)

งูที่มีพิษที่มีลำตัวสั้นที่สุดในโลก
คือ งูแคระ the namaqua dwarf adder พบในประเทศนามิเบีย วัดได้ยาว 8 นิ้ว

งูที่มีลำตัวสั้นที่สุดในโลก
คือ งูเส้นด้าย (thread snake) ซึ่งเป็นงูที่หายากที่สุด พบเฉพาะในเกาะ 3 เกาะ แถบทะเลคาริบเบียน คือ เกาะ St. Lucia, Martinique และ Barbados ตัวที่ยาวที่สุดยาว 108 มิลลิเมตร (4 1/4 นิ้ว)

งูที่เลื้อยได้เร็วที่สุดในโลก
คือ งู black mamba พบในเขตร้อนทางตะวันออกของอัฟริกา ในพื้นที่ราบมันสามารถเลื้อยได้ความเร็วราว 16 - 19 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (10 - 12 ไมล์ต่อชั่วโมง)

งูที่หายากที่สุดในโลก
คือ งูเหลือม 2 ชนิดที่มีถิ่นกำเนิดแถบเกาะ Mauritius คือพันธุ์ the Round Island burrowing boa (ซึ่งชนิดนี้อาจจะสูญพันธุ์ไปแล้ว)

งูมีพิษ (Venomous snake) ที่มีลำตัวยาวที่สุดในโลก
คือ งูเห่า (The King cobra) ที่พบในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอินเดีย มีความยาวเฉลี่ย 3.65 - 4.5 เมตร (12 - 15 ฟุต)

งูมีพิษที่มีขนาดใหญ่และมีน้ำหนักมากที่สุดในโลก
คือ The eastern diamondback rattlesnake พบทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐฯ วัดลำตัวได้ยาว 7 ฟุต 9 นิ้ว หนัก 34 ปอนด์

งูมีพิษที่มีเขี้ยวยาวที่สุดในโลก
คือ งู gaboon viper พบในเขตร้อนของอัฟริกา ชนิดที่มีลำตัวยาว 6 ฟุต วัดเขี้ยวของมันได้ยาวเกือบ 2 นิ้ว

จระเข้ที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก
คือ จระเข้พันธุ์ the dwarf caiman พบทางตอนเหนือของทวีปอเมริกาใต้ ตัวเมียที่มีความยาวมากที่สุดคือ 1.2 เมตร (4 ฟุต) และตัวผู้ที่โตเต็มที่ยาวราว 1.5 เมตร (4 ฟุต 11 นิ้ว)

จระเข้น้ำเค็ม (Saltwater crocodile) ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
คือ จระเข้ที่พบในรัฐ Orissa ประเทศอินเดีย มี 4 พันธุ์ด้วยกัน ซึ่งตัวที่ยาวที่สุดวัดได้ยาวกว่า 7 เมตร (23 ฟุต)

จิ้กจก (Lizard) ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
คือ มังกร Komodo dragon ที่พบบนเกาะ Rintja, เกาะ Padar และเกาะ Flores ในประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งมีความยาวเฉลี่ย 2.25 เมตร (7 ฟุต 5 นิ้ว) และหนักราว 59 กิโลกรัม (130 ปอนด์)

จิ้กจกที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก
คือ a tiny gecko ในเกาะ Virgin Gorda ที่พบในปี ค.ศ. 1964 ตัวที่ใหญ่ที่สุดวัดความยาวได้ 18 มิลลิเมตร

จิ้กจกที่มีพิษร้ายแรงที่สุดในโลก
คือ จิ้กจกพันธุ์ The Gila monster เป็นจิ้กจกมีสีสันสดใสที่พบในเม็กซิโกและทางตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกา พิษของมันอยู่ที่ฟัน

จิ้งจกที่มีขนาดยาวที่สุดในโลก
คือ The Salvadori หรือ Papuan monitor ในปาปัว นิวกินี วัดลำตัวได้ยาว 4.75 เมตร (15 ฟุต 7 นิ้ว)

จิ้งจกที่วิ่งเร็วที่สุดในโลก
คือ a spiny - tailed iguana ที่พบในประเทศ Costa Rica มันวิ่งได้ระยะทาง 34.9 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (21.7 ไมล์ต่อชั่วโมง)

จิงโจ้ (Kangaroo) ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
คือ จิงโจ้แดงตัวผู้ (The male red kangaroo) มีทางตะวันออกของออสเตรเลีย เมื่อยืนวัดได้สูง 5 ฟุต 11 นิ้ว เมื่อวัดจากหัวถึงหางรวมความสูง 9 ฟุต 4 นิ้ว และมีน้ำหนักถึง 198 ปอนด์

จิงโจ้ที่กระโดดได้ไกลที่สุดในโลก
คือ จิงโจ้แดง (The red kangaroo) เพศเมีย มันกระโดดได้ไกลถึง 42 ฟุต

ช้าง (Elephant) ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด
คือ ช้างอัฟริกัน (African bush elephant) เพศผู้ วัดขนาดลำตัวได้ยาว 13 ฟุต 8 นิ้ว มีน้ำหนัก 13.5 ตัน

ช้างที่ตั้งท้อง (Gestation) นานที่สุดในโลก
คือ ช้างเอเชีย ซึ่งเฉลี่ยกินเวลา 609 วัน (กว่า 20 เดือน) อัตราสูงสุดที่เคยบันทึกไว้คือ 760 วัน

ช้างที่มีงา (Tusk) ยาวที่สุดในโลก
คือ ช้างพันธุ์อัฟริกา วัดจากงาคู่หนึ่งที่เก็บรักษาไว้ที่สมาคมสัตวศาสตร์แห่งนครนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา งาข้างขวาวัดได้ยาว 11 ฟุต 5 นิ้ว และงาซ้ายวัดได้ 11 ฟุต มีน้ำหนักรวม 293 ปอนด์

ไดโนเสาร์ที่มีกรงเล็บ (claws) ใหญ่ที่สุดในโลก
คือ ไดโนเสาร์ The therizinosaurids

วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2552

ที่สุดของยานพาหนะ

รถยนต์ (Car) ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
ได้แก่ รถ The Bugatti 'Royale' หรือ 'Golden Bugatti' เป็นรถ 8 สูบ ซึ่งสร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1927 ตัวรถยาวกว่า 6.7 เมตร (22 ฟุต)

รถยนต์ที่ยาวที่สุดในโลก
ได้แก่ รถ 26 ล้อ ยาว 30.5 เมตร (100 ฟุต) ซึ่งออกแบบโดย Jay Ohrberg ที่รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ซึ่งประกอบไปด้วยสระว่ายน้ำและเตียงน้ำขนาดยักษ์

รถจักรยานคันที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ได้แก่ รถจักรยานคันที่ชื่อ 'Frankencycle' ที่ออกแบบโดย Dave Moore ในสหรัฐฯ เส้นผ่าศูนย์กลางของล้อวัดได้ 3.05 เมตร (10 ฟุต) และ สูง 3.40 (11 ฟุต 2 นิ้ว)

รถจักรยานคันที่ยาวที่สุดในโลก
ได้แก่ รถจักรยานสำหรับ 4 คนขับ สร้างในประเทศนิวซีแลนด์ วัดความยาวได้ 22.24 เมตร (72 ฟุต 11 1/2 นิ้ว)

รถจักรยานยนต์ (Motorcycle) ที่ยาวที่สุดในโลก
ได้แก่ รถจักรยานยนต์ที่มีชื่อว่า 'Big Ben' เป็นรถขนาด 250 cc ตัวถังรถยาว 7.6 เมตร (24 ฟุต 11 นิ้ว) อยู่ในประเทศออสเตรเลีย

รถโดยสาร (Bus) ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
ได้แก่ รถ DAF Super City Train buses ซึ่งมีที่นั่งสำหรับผู้โดยสาร 110 ที่ และห่วงจับจำนวน 140 ที่ในรถช่วงแรก และมีที่นั่งสำหรับผู้โดยสารจำนวน 60 ที่และห่วงจับจำนวน 40 ห่วงในรถช่วงที่สอง รถคันนี้หนัก 28 ตัน อยู่ในประเทศคองโก

รถพ่วง (Caravan) ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
ได้แก่ รถพ่วง 5 ชั้น สร้างใน ปี ค.ศ. 1990 สำหรับ Sheik Hamad Bind Hamdam AI Nahyan แห่งอาบูดาบี สาธารรัฐอาหรับเอมิเรทส์ ซึ่งยาว 20 เมตร (66 ฟุต) กว้าง 12 เมตร (39 ฟุต) และหนัก 120 ตัน มีห้องนอนพร้อมห้องน้ำ 8 ห้อง มีที่จอดรถได้ 4 คัน

รถยกบรรทุก (Fork - lift truck) ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
ได้แก่ รถยกบรรทุกของบริษัท Kalmar LMV of Lidhult ในประเทศสวีเดน มีสมรรถนะในการบรรทุกกว่า 90 ตัน

รถพยาบาล (Ambulance) ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
ได้แก่ รถพยาบาลที่ดำเนินการโดย the ACROSS Trust เป็นรถที่เดินทางข้ามทวีปยุโรป ตัวรถยาว 18 เมตร (59 ฟุต) สร้างในเบลเยี่ยมสามารถบรรทุกเจ้าหน้าที่ และผู้ป่วยได้ 44 คน

รถบรรทุกขยะ (Dumper truck) คันที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ได้แก่ รถ The Terex Titan ของบริษัท General Motors Corporation ซึ่งบรรทุกได้หนัก 317.5 ตัน ตัวรถสูง 17 เมตร (56 ฟุต) เป็นรถ 16 สูบ บรรจุน้ำมันได้ 5,910 ลิตร (1,300 แกลลอน)

รถไฟโดยสาร (Passenger train) ที่ยาวที่สุดในโลก
ได้แก่ รถไฟโดยสารของบริษัท the National Belgian Railway Company ซึ่งประกอบด้วยตู้โดยสาร 70 ตู้ ซึ่งลากจูงโดยหัวรถจักรไอน้ำหัวเดียว วัดได้ยาว 1,732.9 เมตร (1,895 หลา) มีน้ำหนักรวม 2,786 ตัน

รถไฟสินค้า (Freight train) ที่ยาวที่สุดในโลก
ได้แก่ รถไฟสาย Sishen - Saldanha railway ในอัฟริกาใต้ ซึ่งมีรถบรรทุกสินค้าพ่วง 660 คัน (แต่ละคันบรรทุกสินค้า 105 ตัน) ตัวรถยาว 7.3 กิโลเมตร (4 1/2 ไมล์) และแล่นได้ระยะทาง 861 กิโลเมตร (535 ไมล์) ในเวลา 22 ชั่วโมง 40 นาที

รถจักรไอน้ำ (Steam locomotive) ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
ได้แก่ รถจักรไอน้ำสาย the South African Raiways GMA Garratt สร้างขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1952 - 1954 มีน้ำหนักรวม 187.4 ตัน

รถกวาดหิมะ (Snow plough) คันใหญ่ที่สุดในโลก
ได้แก่ รถกวาดหิมะที่ออกแบบโดย Thomas Sedgwick รถคันนี้มีใบมีดกว้าง 9.83 เมตร (32 ฟุต 3 นิ้ว)

รถตัดหญ้า (Lawn mower) คันที่มีความกว้างมากที่สุดในโลก
ได้แก่ รถตัดหญ้าที่ชื่อ 'Big Green Machine' ของชาวนาในรัฐโอไฮโอ สหรัฐอเมริกา ซึ่งกว้าง 18 เมตร (60 ฟุต) สามารถตัดหญ้าในเนื้อที่ 1 เอเคอร์เสร็จภายใน 60 วินาที

รถขุดดิน (Excavator) คันที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ได้แก่ รถขุดดิน ซึ่งมีตัวถังหนัก 13,000 ตัน ตัวรถยาว 210 เมตร (690 ฟุต) และสูง 82 เมตร (269 ฟุต) มีเส้นผ่าศูนย์กลางของล้อ 67.88 เมตร (222 ฟุต)

เครื่องบินโดยสาร (Airliner) ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ได้แก่ เครื่องบิน Boeing 747 - 400 ของบริษัท Northwest Airlines ซึ่งมีปีกกว้าง 64.9 เมตร (213 ฟุต) มีระยะทางบิน 13,340 กิโลเมตร (8,290 ไมล์) สามารถบรรทุกผู้โดยสารได้กว่า 566 คน

เครื่องบินทิ้งระเบิด (Bomber) ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ได้แก่ เครื่องบิน The B - 52 มีลำตัวเครื่องยาว 160 ฟุต 11 นิ้ว

เครื่องบินขนส่งสินค้าที่กว้างขวางที่สุดในโลก
ได้แก่ เครื่องบิน The Airbus Super Transporter A300 - 600ST Beluga สามารถบรรทุกน้ำหนักได้ 150 ตัน ลำตัวเครื่องบินยาว 56.16 เมตร (184 ฟุต 3 นิ้ว) มีเนื้อที่สำหรับใช้บรรทุกสินค้า 37.70 เมตร (123 ฟุต 8 นิ้ว)

เฮลิคอปเตอร์ (Helicopter) ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
ได้แก่ The Russian Mil Mi - 12 เครื่องยนต์ turboshaft ใบพัดวัดได้ 67 เมตร (219 ฟุต 10 นิ้ว) ลำตัวยาว 37 เมตร (121 ฟุต 4 1/2 นิ้ว)

เฮลิคอปเตอร์ให้บริการที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
ได้แก่ The Russian Mil Mi - 26 ซึ่งมีน้ำหนักบรรทุก 56,000 กิโลกรัม (123,500 ปอนด์) ลำตัวเครื่องยาว 32 เมตร (105 ฟุต)

เรือเหาะ (Airship) ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
ได้แก่ เรือเหาะของเยอรมนี 2 ลำ ที่ชื่อ Hindenburg และ Graf Zeppelin II ทั้งสองลำมีความยาว 245 เมตร (803 ฟุต 10 นิ้ว) น้ำหนัก 213.9 ตัน เรือเหาะ Hindenburg บินเป็นครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.1936 ส่วน Graf Zeppelin II ให้บริการระหว่างปี ค.ศ. 1928 - 1939

เรือเหาะที่ยังคงใช้งานอยู่ในปัจจุบันที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
ได้แก่ เรือเหาะชื่อ the WDL 1 B ซึ่งสร้างโดยบริษัท Mulheim ประเทศเยอรมนี มีลำตัวยาว 60 เมตร (197 ฟุต)

บัลลูน (Balloon) ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
ได้แก่ บัลลูนของบริษัท Winzen Research Inc ในรัฐมินเนโซตา สหรัฐอเมริกา ซึ่งมีปริมาตรบรรจุก๊าซ 2 ล้านลูกบาศก์เมตร สูง 300 เมตร (1,000 ฟุต) แต่มันไม่ลอยขึ้นจากพื้นและโดนทำลายไปเมื่อปี 1975

เรือโดยสาร (Liners) ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
ได้แก่ เรือโดยสาร Carnival Cruise Line's Carnival Destiny ซึ่งมีลำตัวยาว 272 เมตร (893 ฟุต) และกว้าง 38 เมตร (125 ฟุต)

เรือโดยสารที่มีขนาดลำเรือยาวที่สุดในโลก
ได้แก่ เรือโดยสาร the Norway ของบริษัท Norwegian Cruise Line ลำตัวเรือยาว 315.53 เมตร (1,035 ฟุต 7 1/2 นิ้ว) มีห้องพักสำหรับลูกเรือ 900 คน และผู้โดยสาร 2,032 คน

เรือโดยสารข้ามฟาก (Ferries) ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
ได้แก่ เรือ The Silja Europa ซึ่งบริการระหว่างกรุงสต็อกโฮม ประเทศสวีเดน กับกรุงเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ ลำตัวเรือยาว 201.8 เมตร บรรทุกผู้โดยสารได้ 3,000 คน รถยนต์ 350 คัน และรถบรรทุก 60 คัน

เรือโดยสารข้ามฟากนานาชาติที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
ได้แก่ เรือ Klaipeda, Vilnius, Mukran และ Greifswald ที่สร้างในประเทศเยอรมนี ซึ่งให้บริการในทะเลบอลติก ระหว่าง Klaipeda, Lithuania และ Mukran ประเทศเยอรมนี แต่ละลำหนัก 11,513 ตัน มีลำตัวเรือ รวมดาดฟ้า 2 แห่งยาว 190.5 เมตร (625 ฟุต) และกว้าง 91.86 เมตร (301 ฟุต 5 นิ้ว)

เรือสินค้า (Cargo vessel) ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
ได้แก่ เรือบรรทุกน้ำมันที่ชื่อ the Jahre Viking น้ำหนักบรรทุก 564,763 ตัน ตัวเรือยาว 458.45 เมตร (1,504 ฟุต)

เรือสำเภา (Junk) ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
ได้แก่ เรือสำเภา Zheng He ของบริษัท Admiral Zheng He ที่ให้บริการทางทะเลมาตั้งแต่ราวปี ค.ศ. 1420 จำนวน 62 ลำ แต่ละลำมีความยาวแตกต่างกันไป ลำยาวที่สุดคือ 164 เมตร (538 ฟุต)

เรือโดยสารไฮโรฟอยล์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
ได้แก่ เรือโดยสาร Supramar PTS 150 MK IIIs หนัก 165 ตัน ที่ให้บริการระหว่างประเทศสวีเดน และเดนมาร์ก บรรทุกผู้โดยสารได้ 250 คน ความเร็ว 74 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (40 นอต)

เรือโฮเวอร์คราฟท์ (Hovercraft) ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
ได้แก่ เรือ The SRN4 Mk III ต่อในประเทศอังกฤษ มีน้ำหนัก 300 ตัน บรรทุกผู้โดยสารได้ 418 คน และรถยนต์ 60 คัน ตัวเรือยาว 56.38 เมตร (185 ฟุต) ข้ามช่องแคบในอัตราความเร็ว 65 นอต

เรือใบ (Sailing ship) ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
ได้แก่ เรือ the France II ซึ่งต่อใน Bordeaux ประเทศฝรั่งเศส มี 5 ใบเรือ วัดได้ 127.4 เมตร (418 ฟุต) เป็นเรือใบที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยสร้างกันมา แต่มันอับปางนอกฝั่ง New Caledonia ในทะเลแปซิฟิกใต้ เมื่อปี ค.ศ.1922

เรือใบยนต์ที่มีขนาดยาวที่สุดในโลก
ได้แก่ เรือ Club Med 1 ที่ต่อในฝรั่งเศส มีเสา 5 เสา ลำตัวเรือยาว 187 เมตร (613 ฟุต) ควบคุมใบเรือด้วยคอมพิวเตอร์ บรรทุกผู้โดยสารได้ 425 คน

เรือยอร์ช (Yacht) ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
ได้แก่ เรือ Saudi Arabian royal yacht ชื่อ Abdul Aziz ที่ต่อในประเทศอังกฤษ เมื่อปี ค.ศ. 1987 ลำเรือยาว 147 เมตร (482 ฟุต) มีมูลค่ากว่า 100 ล้านเหรียญสหรัฐ (61 ล้านปอนด์)

เรือยอร์ชส่วนตัวที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
ได้แก่ เรือ Alexander ซึ่งยาว 120 เมตร (400 ฟุต) เดิมเป็นเรือเฟอรี่ แต่ดัดแปลงมาเป็นเรือยอร์ช เมื่อปี ค.ศ. 1986

เรือรบ (Battleships) ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
ได้แก่ เรือรบของญี่ปุ่น ชื่อ Yamato และ Musashi ซึ่งมีน้ำหนักบรรทุก 67,884 ตัน ลำตัวเรือยาว 263 เมตร (863 ฟุต) ประกอบไปด้วย อาวุธประจำเรือ คือ ป้อมปืน 3 ป้อม ปืนลำกล้องขนาด 460 มิลลิเมตร 9 กระบอก ปืนแต่ละกระบอกหนัก 164.6 ตัน ลำกล้องยาว 22.8 เมตร (75 ฟุต)

เรือรบบรรทุกเครื่องบินที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ได้แก่ เรือ USS Nimitz ของกองทัพเรือสหรัฐฯ ลำตัวเรือยาว 332.9 เมตร (1,092 ฟุต) ดาดฟ้ามีเนื้อที่ 4 1/2 เอเคอร์ เร่งความเร็วได้กว่า 56 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (30 นอต) มีระวางขับน้ำ 91,400 ตัน

เรือรบ (Warship) ที่แล่นเร็วที่สุดในโลก
ได้แก่ เรือ US Navy hovercraft ซึ่งมีลำตัวเรือยาว 23.7 เมตร (78 ฟุต) เร่งความเร็วได้ถึง 170 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (91.9 นอต)

เรือดำน้ำ (Submarine) ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
ได้แก่ เรือ the Russian Typhoon ระวางขับน้ำ 26,500 ตัน ตัวเรือยาว 171.5 เมตร (562 ฟุต 8 นิ้ว)

เรือดำน้ำที่มีความเร็วที่สุดในโลก
ได้แก่ เรือ The Russian Alpha เป็นเรือดำน้ำพลังนิวเคลียร์ มีความเร็วกว่า 74 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (40 นอต)

รถถังที่แล่นเร็วที่สุดในโลก
ได้แก่ the British Scorpion ซึ่งสามารถเร่งความเร็วได้ถึง 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

วันพุธที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2552

ดื่มน้ำกันเถิดให้เกิดผล







น้ำเป็นส่วนประกอบสำคัญของร่างกายมนุษย์ ที่ช่วยให้การทำงานของอวัยวะและเซลล์ต่างๆ เป็นปกติ และเพื่อให้การดื่มน้ำส่งผลดีต่อร่างกายคุณมากยิ่งขึ้น เรามีคำแนะนำของการดื่มน้ำมาฝาก เริ่มจาก...


ดื่มน้ำสะอาดตอนเช้า หลังจากที่นอนหลับพักผ่อนติดต่อกันเป็นเวลามากกว่า 6 ชั่วโมง ซึ่งมีสัญญาณเตือนของการขาดน้ำด้วยอาการคอแห้ง ปากแห้ง หรือน้ำลายเหนียว เป็นต้น เมื่อร่างกายได้น้ำเพียงพอ 1-2 แก้ว คุณจะรู้สึกสดชื่นพร้อมทำกิจวัตรประจำวันต่อไป

ดื่มน้ำก่อน-หลังอาหารลดอ้วน สำหรับคนที่มีปัญหาเรื่องการควบคุมน้ำหนัก ชอบรับประทานอาหารจุบจิบก่อนและหลังอาหาร ขอแนะนำให้ดื่มน้ำก่อนและหลังอาหาร 1-2 แก้ว เพื่อเป็นการเช็คว่าคุณหิวจริงๆ หรือร่างกายต้องการน้ำกันแน่ เพื่อระงับความอยากอาหารที่เกินความต้องการของร่างกาย ทั้งนี้ระหว่างอาหารไม่ควรดื่มน้ำมากไป เพราะจะทำให้เกิดอาการจุกเสียด แน่นท้องได้

ดื่มน้ำเพิ่มพลังเมตาบอลิสม น้ำเป็นส่วนประกอบที่สำคัญในทำงานของเซลล์แต่ละเซลล์ ในการดูดซึมและเปลี่ยนถ่ายก่อให้เกิดเป็นพลังงานความร้อน ช่วยในเผาผลาญและนำสารอาหารที่ร่างกายไปใช้ประโยชน์ต่อไป โดยในหนึ่งวันเราควรดื่มน้ำให้ได้วันละ 6-8 แก้ว

วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2552

วิธีป้องกันเส้นเลือดขอด

วันนี้เรามีวิธีลดเส้นเลือดขอดด้วยการรับประทานอาหารมาบอก

เส้นเลือดขอดถือเป็นอีกหนึ่งปัญหาที่สาว ๆ มักจะหนักใจ ...

ลดการปวดเกร็งซึ่งส่งผลให้เกิดเส้นเลือดขอด โดยการรับประทานใยอาหาร เช่น ยอดแค มะเขือพวง ถั่วเมล็ดแห้ง ทับทิม

เพิ่มความแข็งแรงของหลอดเลือดด้วยวิตามินซีที่หาได้จาก บรอกโคลี พริก ผลไม้ตระกูลส้ม

ผัก ผลไม้ที่มีสารฟลาโวนอยด์ เช่น เบอร์รี่ องุ่น ธัญพืช ทำงานร่วมกับวิตามินซีเสริมความแข็งแรงและลดรอยรั่วของหลอดเลือด

วิธีง่ายๆที่จะช่วยให้เรียวขาหมดปัญหาเส้นเลือดขอด.

ออฟฟิศซินโดรมโรคร้ายที่บรรเทาได้

ไม่ต้องตกใจเพราะมั่นใจได้ว่าเกินครึ่งคนทำงานออฟฟิศเป็นโรคนี้แทบทุกคน

ใครที่อ่านสารพันวันละโรคแล้วเข้าข่ายเป็นออฟฟิสซินโดรม เพียงแต่จะแสดงอาการถึงขั้นไหน อย่างที่ทราบไม่ตายในทันที แต่แสนทรมานฉะนั้นควรรู้วิธีบำบัดและบรรเทาเพื่อให้รางวัลกับร่างกายตัวเองจากการทำงานหนักบ้าง
อาการแรกที่หลายคนเป็น คือปวดร้าวตั้งแต่คอไปจนถึงเอว หรือผู้หญิงบางคนที่ใส่รองเท้าส้นสูงเป็นประจำ หิ้วกระเป๋าหรือโน้ตบุ๊คหนักเกินไป จะมีอาการปวดขาและไหล่ร่วมด้วย แพทย์อายุรเวทบอกเคล็ดลับให้นำไปปฏิบัติคือ
1.ยืดกล้ามเนื้อประมาณ 10 นาทีเมื่อใช้คอมพิวเตอร์ติดต่อกัน 2 ชั่วโมง
2.วางแขนแนบโต๊ะทำงานตั้งแต่ศอกไปจนถึงข้อมือเวลาใช้คีย์บอร์ด
3.ใช้หมอนรองบริเวณหลังเวลานั่งเก้าอี้สำนักงาน เพื่อป้องกันการปวดหลัง
4.เมื่ออาการปวดเมื่อยเริ่มสำแดง งดออกกำลังกายที่หนักเกินไป ควรใช้วิธีบริหารหรือคลายกล้ามเนื้อแทน เช่น การว่ายน้ำหรือเล่นโยคะ
ตาแห้ง สายตาพล่ามัว ปวดกล้ามเนื้อตา ใต้ตาคล้ำ อาการยอดฮิตอีกอย่าง แนะนำให้เมื่อกลับมาจากทำงาน นำแตงกวาหรือถุงชามาแปะไว้บนเปลือกตา หลับตาพักประมาณ 15 นาที หากใครรักสวยรักงามขึ้นมาอีกนิด ให้ฝานมันฝรั่งสดแปะใต้ดวงตาเป็นประจำจะช่วยลดอาการบวมและดำได้ชะงัด สำคัญอย่าลืมรับประทานผักที่มีวิตามินเอควบคู่ไปด้วย ใครที่ยังเข้าใจผิดคิดว่าผักบุ้งมีวิตามินเอมากที่สุด รู้ข้อมูลใหม่โดยกองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุขจัด 5 อันดับที่อุดมไปด้วยวิตามินเอ นำลิ่วมาก่อนใครคือตำลึง ผักหวาน แครอท ฟักทอง และมะเขือเทศ ตามลำดับ
ส่วนใครที่มีอาการขั้นรุนแรงเกินกว่าปวดเมื่อยเล็กๆ น้อยๆ คงต้องรีบปรึกษาแพทย์ อย่ารีรอให้โรคลุกลามไปสู่อาการหนัก แต่สำคัญที่สุด คือ การป้องกันก่อนเกิด เพราะนอกจากเสียสุขภาพใจแล้ว ยังต้องมาเสียสุขภาพจิตตอนจ่ายเงินค่ารักษาอีก.

วิธีบรรเทาอาการปวดหัว

วิธีบรรเทาอาการปวดหัว

วันนี้เรานำเคล็ดลับวิธีบรรเทาอาการปวดหัวสำหรับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์มาฝาก

เริ่มจากการพยายามคิดถึงสิ่งต่างๆ ในแง่ดี ยกตัวอย่างเช่น สามีกลับบ้านดึก ก็เพราะเขาทำงานหาเงินเพิ่มเติมเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับลูกน้อยที่กำลังจะเกิด แทนที่จะเกิดอารมณ์หงุดหงิด ก็อาจจะเปลี่ยนไปเป็นเข้าใจ
นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ วันละ 7 - 9 ชั่วโมง เป็นอย่างน้อย เพราะนอกจากจะช่วยบรรเทาอาการปวดหัวแล้ว ยังช่วยลดความเสี่ยงที่จะเป็นโรคอ้วน และโรคเบาหวานด้วย
รับประทานอาหารและของว่างที่มีประโยชน์ หากคุณแม่มีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำอาจเป็นตัวการทำให้เกิดอาการปวดศีรษะได้
อ่านหนังสือธรรมะ เพราะหลักธรรมคำสอนทางพุทธศาสนาสามารถช่วยให้คลายความเครียดในใจลงได้

กินดี...บทรักก็ดีด้วย

มนุษย์เราให้ความสำคัญกับอาหารการกินมานาน และนับเป็นปัจจัยในการดำรงชีวิตที่ขาดไม่ได้ จะชั่วดีมีจนอย่างไรก็ต้องกิน ไม่ว่าจะ กินเพื่ออยู่ อยู่เพื่อกิน กินดีอยู่ดี หรือ "กินได้กินดี"
เรื่อง: กฤตยกร แสงขาว
มนุษย์เราให้ความสำคัญกับอาหารการกินมานาน และนับเป็นปัจจัยในการดำรงชีวิตที่ขาดไม่ได้ จะชั่วดีมีจนอย่างไรก็ต้องกิน ไม่ว่าจะ กินเพื่ออยู่ อยู่เพื่อกิน กินดีอยู่ดี กินได้กินดี หรือกินบ้านกินเมือง โอ๊ะ! อันหลังคงไม่ดีแน่ เราอย่าไปสนใจมันเลย
มาเรื่องของเราดีกว่า จะเห็นได้ว่าระยะ 3-4 ปี ที่ผ่านมานี้ กระแสการกินเพื่อดูแลสุขภาพกำลังมาแรง ไม่ว่าจะหันไปทางไหน ก็จะเห็นว่าแทบทุกร้านอาหารมักจะชูประเด็นสำคัญในเรื่องการดูแลสุขภาพ ว่ามีสรรพคุณช่วยในการเสริมสร้างให้ร่างกายแข็งแรง ซึ่งเรื่องอาหารจะว่าเป็นแฟชั่นก็คงไม่ถูกเสียทีเดียว เพราะแฟชั่นมาเร็วไปเร็ว เปลี่ยนแปลงบ่อย แต่กับกระแสการกินเพื่อสุขภาพนั้น ดูเหมือนว่าจะเกิดขึ้นและคงอยู่ได้นาน
และในหลายๆ สรรพคุณของอาหารนั้น ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่เชื่อแน่ว่าหลายท่านคงให้ความสนใจ ก็คือสรรพคุณในเรื่องสุขภาพทางเพศนั่นเอง อันที่จริงเรื่องนี้เป็นเรื่องที่มนุษย์เราให้ความสนใจมาแต่โบราณแล้ว ลองมาดูกันครับว่า มีอาหารอะไรบ้างที่ให้ประโยชน์ต่อสุขภาพทางเพศ ซึ่งบางอย่างก็เป็นแค่อาหารพื้นๆ ธรรมดา ที่เราๆ ท่านๆ อาจนึกไม่ถึงเลยทีเดียว
อย่างแรกที่อยากแนะนำคือ กล้วย ผลไม้พื้นบ้านธรรมดาที่หาได้ง่ายๆ ตามตลาดและซุปเปอร์มาเก็ตทั่วไป อย่าดูถูกเจ้าผลไม้ดึกดำบรรพ์ผลสีเหลืองสวยนี้เป็นอันขาดเชียวนะ เพราะนอกจากแป้งและน้ำตาล ที่ให้พลังงานอย่างดีแล้ว กล้วยนั้นยังมีคุณประโยชน์ในเรื่องเซ็กส์ มากอย่างไม่น่าเชื่อเลยทีเดียว ในผลกล้วยอุดมไปด้วยแร่ธาตุ โปแตสเซียม ซึ่งมีส่วนสำคัญในการทำงานของกล้ามเนื้อและระบบประสาท นอกจากนี้แล้วโปแตส
เซียม ยังมีส่วนในเรื่องช่วยการทำงานของหัวใจ และความดันโลหิตให้เป็นปกติด้วย
นอกจากนี้แล้วกล้วยยังเป็นที่รวมของวิตมินบี 6 ซึ่งมีส่วนสำคัญในการทำหน้าที่ของสารสื่อประสาทในสมองช่วยให้สมองสั่งการได้ดีขึ้น
กล้วยเพิ่มความกระชุ่มกระชวย ช่วยคลายความเหนื่อยล้าจากการทำงาน ความเครียด ในชีวิตประจำวัน ซึ่งจะส่งผลทำให้เรื่องบนเตียงกับคนรักของคุณราบรื่นอีกด้วย
กลับมาจากที่ทำงานหรือออกไปเผชิญรถติดนอกบ้าน ลองรับประทานกล้วยสดแช่เย็นสักผล หรือจะสร้างสรรค์ทำเป็นเครื่องดื่มกล้วยปั่นเย็นๆ ซักแก้ว แล้วคุณจะรู้สึกดีขึ้นได้อย่างง่ายๆ เลยทีเดียว แต่ระวังเรื่องนมกับน้ำเชื่อมเพิ่มแคลอรีในมื้อเย็นนะครับจะกลายเป็นอ้วนไป
ต่อมาคือ มะเดื่อ ตามความเชื่อของชาวกรีกโบราณนั้น เชื่อกันว่ามะเดื่อ เป็นอาหารที่เพิ่มสมรรถภาพทางเพศได้อย่างมาก ซึ่งจากความเชื่อนี้นักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันได้ทำการศึกษาแล้วพบว่า ในมะเดื่อนั้นมีสารไนอะซีนอยู่เป็นจำนวนมาก เจ้าสารไนอะซีนตัวนี้จัดอยู่ในกลุ่มวิตามินบี ซึ่งไนอะซีนมีสารเคมีสองชนิดคือ กรดนิโคตินามิก และทริปโทแฟน เป็นวิตามินที่เป็นส่วนประกอบของโคเอนไซม์ ที่ทำหน้าที่เป็นแหล่งไฮโดรเจน การลดปริมาณโคเลสเตอรอล ซึ่งทำให้ไนอะซีนเป็นสาระสำคัญ ในการช่วยในเรื่องระบบการไหลเวียนโลหิตในร่างกาย
ยัง...ยังไม่หมดแค่นั้นนะ อย่าดูถูกผลไม้ลูกเล็กๆ นี้เป็นอันขาด เจ้ามะเดื่อยังมีสาระสำคัญอีกอย่างนึงก็คือ แมกนีเซียม ซึ่งมีส่วนสำคัญในการสร้างฮอร์โมนต่างๆ (แน่นอนครับรวมถึงฮอร์โมนเพศด้วย) และยังช่วยในเรื่องการทำงานของกล้ามเนื้อในส่วนต่างๆ ของร่างกายด้วย
ดังนั้นก็ไม่ต้องกังวล เมื่อถึงเวลากิจกรรมของคุณกับคู่รักอีกแล้ว เพราะไม่ว่าจะเป็นคุณผู้ชายที่ต้องการเลือดไปเลี้ยงเจ้าหนูคู่กาย หรือแม้แต่เมื่ออัตราการหายใจที่ทั้งเร่ง เร็ว และแรง ในขณะที่ปฏิบัติการก็ไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดอาการหายใจไม่ทัน หรือหมดแรงสู้กระทันหันอีกต่อไป
หน่อไม้ฝรั่ง ผักชนิดนี้เรารู้จักกันเป็นอย่างดี หาซื้อง่าย เป็นส่วนประกอบในอาหารประจำวันของคนไทย นอกจากความอร่อยแล้ว คุณประโยชน์ในด้านสมรรถภาพทางเพศทำให้มองข้ามไปไม่ได้เลย เพราะในหน่อไม้ฝรั่งมีสารไนอะซีนซึ่งเหมือนกับมะเดื่อ และที่สำคัญโดยเฉพาะสำหรับคุณผู้ชาย คือ สารกลูตาไธโอน ซึ่งปัจจุบันเป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารหลายชนิดในแง่ทำให้ผิวขาว แต่ในหน่อไม้ฝรั่งนั้น สารกลูตาไธโอนจะทำหน้าที่ร่วมกับวิตามินซีช่วยให้เสปิร์มตื่น คือทำให้เสปิร์มมีความตื่นตัวมากขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้นในการปฏิบัติการกระทั่งสู่การปฎิสนธิ
ที่นี้คุณผู้ชายทั้งหลายหรือแม้แต่คุณภรรยาที่บ้าน ต้องหันมาให้ความสำคัญกับเจ้าผักฝรั่งสัญชาติไทยตัวนี้กันมากขึ้นแล้วนะครับ เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า ความเครียดทั้งจากการทำงานและสภาพแวดล้อมในปัจจุบัน หรือแม้แต่ความร้อนจากการอบลูกอัณฑะอยู่ในกางเกงเป็นเวลานานๆ ล้วน เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ปริมาณและคุณภาพของเสปิร์มลดถอยลงเป็นอย่างมาก
ถั่วบราซิล อันนี้อาจไม่คุ้นเคยซักเท่าไหร่ แต่เจ้าถั่วเม็ดจิ๋วนี้มีความพิเศษอย่างไม่น่าเชื่อเลยทีเดียว เพราะ ในถั่วบราซิลนั้น อุดมไปด้วยสารเซเลเนียม ซึ่งถือกันว่าเป็นแหล่งของเซเลเนียมชั้นยอดเลยทีเดียว
สารเซเลเนียมนี้มีส่วนสำคัญที่ช่วยทำให้เสปิร์มของคุณผู้ชายแข็งแรง และว่ายน้ำได้เร็วขึ้น โดยมีรายงานกล่าวอีกว่ายังช่วยเพิ่มจำนวนเสปิร์มให้มากขึ้นได้ด้วย นั่นหมายถึงโอกาสการมีลูกสูงขึ้นนั่นเอง
นอกจากนี้แล้วในถั่วบราซิล ยังมีวิตามินอี ช่วยให้ผิวของเจ้าเสปิร์มแข็งแรง และหลุดรอดจากการทำลายของอนุมูลอิสระภายในร่างกายของเราด้วย อันนี้ก็นับเป็นข่าวดีของคุณผู้ชายทั้งหลาย ที่คิดว่าเริ่มมีปัญหาหรือมีความเสี่ยงที่จะมีเจ้าตัวเสปิร์มน้อย ทางเลือกในการการบำรุงด้วยถั่วบราซิลก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจเลยทีเดียว
แครอท ไม่มีใครไม่รู้จัก ก็อย่างที่รู้ๆ กันก็คือ แครอทมีสารเบต้าแคโรทีนที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ อันเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งแล้ว เจ้าสารเบต้าแคโรทีนนี้ ยังมีส่วนช่วยเรื่องเซ็กส์ด้วย ทั้งชายและหญิง
สำหรับผู้ชายนั้นสารเบต้าแคโรทีน มีส่วนช่วยให้ตัวเสปิร์มมีปริมาณมาก และแข็งแรงขึ้น สำหรับผู้หญิง เจ้าสารตัวนี้มีส่วนในการเสริมสร้างฮอร์โมนเพศตัวสำคัญ คือ โปรเจสเตอโรนทำให้สภาพผนังมดลูกมีความเหสมะสมในการฝังตัวของไข่ เห็นสรรพคุณแล้วเรียกได้ว่าได้ประโยชน์หลายสถานจริงๆ แถมกินได้ทุกเพศทุกวัน ไม่จำกัดจำนวน และไม่ต้องห่วงแคลอรีด้วยครับ
แอปพลิคอท มีขายตามซุปเปอร์มาเก็ตใหญ่ๆ เป็นลูกสีส้มๆ กลมๆ นอกจากจะอร่อยแล้ว ยังมีประโยชน์ในการบำรุงสมรรถภาพทางเพศของคุณผู้หญิงอย่างไม่น่าเชื่อเลยทีเดียว
สาวๆ ที่กำลังจะเป็นเจ้าสาว และวางแผนที่จะเป็นแม่คนในเร็ววันอ่านไว้นะครับ แอปพลิคอทมีสารเบต้าแคโรทีนและแมงกานีสสูง ซึ่งสารสองตัวนี้ส่งผลให้ผู้หญิงเพิ่มโอกาสการปฏิสนธิได้สูงขึ้น คือคุณจะมีโอกาสตั้งครรภ์ได้มากขึ้นนั่นเอง เพราะสารทั้งสองตัวนี้มีส่วนสำคัญในการสร้างฮอร์โมนที่จำเป็นสำหรับร่างกาย ทำให้ร่างกายพร้อมรับการตั้งครรภ์ได้ดีขึ้น
ถ้าร่างกายขาดแมงกานีส หรือได้รับไม่เพียงพออาจจะทำให้การทำงานของระบบสืบพันธุ์ผิดปกติได้ ทั้งยังก่อให้เกิดประจำเดือนมาไปเป็นปกติอีกด้วย
หอยนางรม หลายคนคงพอทราบมาบ้างนะครับว่าหอยนางรม เป็นอาหารที่เกี่ยวข้องกับสมรรถภาพทางเพศเพราะมีแร่ธาตุสังกะสีสูงนั่นเอง ซึ่งสังกะสีช่วยทำให้สเปิร์มเคลื่อนไหวได้เร็วขึ้น เท่ากับช่วยเพิ่มโอกาสการมีลูกนั่นเอง นอกจากนี้สังกะสียังช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดต่อมลูกหมากบวมอักเสบ ซึ่งถ้าเกิดกับชายใดก็จะอาจมีผลกระทบต่อสมรรถภาพเพศได้เช่นกัน
แต่ก็อย่าเพิ่งดีใจรีบสวาปามหอยนางรมเข้าไปหละครับ อ่านต่ออีกนิด... หอยนางรม นอกจากจะมีสังกะสีสูงแล้ว ยังมีโคเลสเตอรอลสูงด้วยเช่นกัน ซึ่งก็คือสาเหตุที่ก่อให้เกิดไขมันอุดตันในหลอดเลือดและหัวใจได้หากรับประทานมากเกินไป
นอกจากนี้จากการศึกษาในต่างประเทศพบว่าในหอยนางรมดิบนั้นอาจมีเชื้อโรค Vibrio Vulnificus ซึ่งมีอยู่ในแหล่งน้ำบางแห่ง ส่วนแหล่งน้ำในประเทศไทยนั้นยังไม่มีรายงานแน่นอนว่ามีการระบาดของเชื้อชนิดนี้หรือไม่อย่างไรก็ตามก็ระวังกันด้วยนะครับ เพราะถ้าอาหารเป็นพิษขึ้นมา นอกจากจะไม่ปึ๋งปั๋ง หมดเรี่ยวแรงแล้ว ยังต้องไปนอนหยอดน้ำข้าวต้มในโรงพยาบาลอีกก็เป็นได้
ปลาทะเล เป็นอาหารที่มีประโยชน์มาก เพราะเป็นแหล่งโปรตีนและไขมันชั้นดีคือกรดโอเมกา 3 ซึ่งนอกจากจะช่วยบำรุงสมองแล้ว ที่สำคัญยังมีส่วนช่วยในเรื่องสมรรถภาพทางเพศได้ด้วย
กรดโอเมกา 3 ในปลาทะเลเป็นสารอีกชนิดหนึ่งที่สร้างสารคล้ายฮอร์โมนชื่อ พลอสตาแกลนดิน ซึ่งมีความสำคัญต่อระบบประสาทในด้านการตอบสนองทางเพศ และเคยใช้เป็นสารที่ใช้ฉีดเฉพาะที่ในชายที่เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ ช่วยให้ผนังเส้นเลือดคลายตัว ทำให้เลือดไปเลี้ยงอวัยวะเพศได้ดีขึ้น
ได้ฟังประโยชน์ของโอเมกา 3 เพิ่มขึ้นอย่างนี้แล้ว ก็ลองหันมารับประทานปลาทะเลให้มากขึ้น แทนเนื้อสัตว์อื่นๆ ดูนะครับ เพราะปลาเป็นอาหารที่ย่อยง่าย รับประทานเป็นมื้อเย็นก็ดีครับ กำลังสบายท้อง
อยากจะฝากข้อคิดเกี่ยวกับเรื่องเพศให้คุณผู้อ่านลองนำไปให้ในชีวิตประจำวันดูนะครับ
พยายามใส่ใจกับความเครียดของตัวเองและคนรักให้มากๆ เพราะเซ็กส์ที่ดีนั้นจะเกิดขึ้นได้ เมื่อทั้งสองฝ่ายรู้สึกผ่อนคลาย ไม่เครียด ไม่เหนื่อยล้าจนเกินไป
อย่าลืมอีกเรื่องที่สำคัญครับ....ต้องออกกำลังกาย สัปดาห์ละ 3-5 ครั้งนะครับ เพราะร่างกายที่แข็งแรงนั้น จะทำให้คุณพร้อมสำหรับปฏิบัติการได้อย่างสมบูรณ์แบบ ราบรื่น และที่สำคัญช่วยให้คุณจัดการความเครียดได้ง่ายๆ ด้วยครับ

อะแคนทะมีบา ภัย คอนแทคเลนส์

ดวงตา คือ หน้าต่างที่ทำให้เรามองเห็นโลกกว้าง ถ้าไม่ดูแลรักษาให้ดี ก็อาจทำให้เราก้าวเข้าสู่โลกมืด
หรือมีความผิดปกติทางสายตารุนแรงโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะผู้ที่ใส่คอนแทคเลนส์ควรระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะหากละเลยข้อควรปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ก็อาจเป็นเหมือนการเปิดประตูต้อนรับสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ที่มองไม่เห็นอย่าง อะแคนทะมีบา เข้ามารุกรานและทำอันตรายต่อดวงตา
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ศ.พญ.พนิดา โกสียรักษ์วงศ์ ภาควิชาจักษุวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า อะแคนทะมีบา เป็นโปรตัวซัวแบบเซลล์เดียวที่อาศัยอยู่ในน้ำและดิน มีช่วงชีวิต 2 แบบ คือ
1. แบบ ซีสต์ มีขนาด 10-25 ไมครอน เมื่ออยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม เพียงแต่จะฝังตัวอยู่นิ่ง ๆ
2. แบบ โทรโฟซอยต์ ที่เคลื่อนไหว มีขนาด 15-45 ไมครอน จะเปลี่ยนรูปร่างจาก ซีสต์ มีฤทธิ์ทำลายดวงตา
อย่างไรก็ตาม เชื้ออะแคนทะมีบา ทั้ง 2 แบบ สามารถทนทานอยู่ได้นานในสิ่งแวดล้อมทุกรูปแบบ เช่น หนาวจัด ร้อนจัด แห้งแล้ง ขาดอาหาร สระว่ายน้ำที่ใส่คลอรีน หรือแม้แต่บ่อน้ำร้อน
เกี่ยวข้องอย่างไรกับคนใส่คอนแทคเลนส์
ส่วนใหญ่ร้อยละ 70 ในคนที่ใส่คอนแทคเลนส์ สามารถพบกระจกตาอักเสบเนื่องจากติดเชื้ออะแคนทะมีบาได้ โดยส่งผลทำให้เกิดอาการ ดังนี้ ปวดตามาก สู้แสงไม่ได้ กระจกตาขุ่น ฝ้า เป็นแผลอักเสบที่กระจกตา ในบางรายดูคล้ายอักเสบเนื่องจากติดเชื้อไวรัสเริม
วิธีรักษา ควรไปพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียด ในส่วนของการรักษา โดยทั่วไปจะต้องหยอดตาด้วยยาฆ่าเชื้อนี้โดยเฉพาะ ซึ่งจะต้องผสมจากน้ำยาบางชนิดที่ไม่มีขายในท้องตลาด โดยจะต้องหยอดตาบ่อย ๆ เป็นเวลานานหลายเดือน หรืออาจเป็นปี และเฝ้าติดตามดูอาการเป็นระยะ ๆ นานหลายปี เนื่องจากเชื้ออะแคนทะมีบาสามารถมีชีวิตอยู่ในรูปแบบของซีสต์ได้นานหลายสิบปี ดังนั้นเมื่อใดที่ร่างกายอ่อนแอหรือมีเชื้อโรคที่ไปเป็นอาหารชั้นดีของเชื้ออะแคนทะมีบา ซีสต์ดังกล่าวก็จะแปลงร่างเป็นโทรโฟซอยต์ทำให้ดวงตาอักเสบทันที
ทำอย่างไรไม่ให้ติดเชื้อ
1. ล้างมือทำความสะอาดโดยการฟอกสบู่หลาย ๆ ครั้ง ก่อนหยิบจับคอนแทคเลนส์
2. น้ำยาทำความสะอาดล้างเลนส์ ควรใช้ให้หมดภายใน 1 เดือน ไม่เก่าเก็บเกิน 2 เดือนหลังจากเปิดใช้แล้ว
3. ขัดถูล้างเลนส์ทั้ง 2 ด้านเป็นเวลาพอสมควร ตลอดจนล้างขัดถูตลับแช่เลนส์ให้สะอาดทุกครั้งก่อนใส่น้ำยาแช่เลนส์ที่เปลี่ยนใหม่ทุกวัน เพราะโรคนี้มักพบในคนที่ใส่คอนแทคเลนส์ชนิดนิ่มบ่อยกว่าชนิดแข็ง โดยเฉพาะไม่ล้างทำความสะอาดเลนส์ทุกวันหรือใส่นอน
4. ควรนำตลับแช่เลนส์อบไมโครเวฟทุก 2-3 สัปดาห์ และเปลี่ยนตลับใหม่ทุก 2-3 เดือน เนื่องจากเชื้อโรคนี้อยู่ทนทาน
หากมีอาการหรือพฤติกรรมต่อไปนี้ อย่าใส่คอนแทคเลนส์
1.เปลือกตาอักเสบ
2.ตาแห้ง
3.เป็นโรคภูมิแพ้
4.ไม่มีเวลาดูแลล้างทำความสะอาดคอนแทคเลนส์

เนื่องจากเชื้ออะแคนทะมีบา เป็นสาเหตุสำคัญของอาการกระจกตาอักเสบ และยังส่งผลให้เกิดแผลที่ดวงดา ที่ร้ายไปกว่านั้นคือ มีความอดทนต่อยาที่ใช้รักษาทุกชนิด ทำให้ต้องหยอดยาเป็นเวลานาน และในบางรายอาจไม่ตอบสนองต่อยา เป็นผลให้เชื้ออาจมีการลุกลามไปทั่วทั้งกระจกตา จนเกิดอาการอักเสบทั้งลูกตาได้
การรักษาต้องหยอดยาเป็นเวลานาน ถ้ามีอาการอักเสบมาก จักษุแพทย์จะทำการผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตาให้ แต่ก็สามารถกลับมามีเชื้อชนิดนี้ได้อีก จึงต้องเฝ้าติดตามดูอาการเป็นเวลานาน และในบางรายอาจมีอาการหนักถึงขั้นที่ต้องได้รับการผ่าตัดเอาลูกตาออกในที่สุดแม้ว่าจะผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตาแล้วก็ตาม เนื่องจากสามารถกลับมามีเชื้อชนิดนี้ได้อีก

ดังนั้น การใส่คอนแทคเลนส์แล้วปฏิบัติตัวไม่ถูกวิธี มีสิทธิติดเชื้อจนตาบอดได้ ยิ่งเห่อใส่ตามแฟชั่น ยิ่งต้องควรระวังมากกว่าปกติ เพราะหากดูแลดวงตาและรักษาคอนแทคเลนส์ไม่ถูกวิธี อาจมีเชื้อโรคเข้าสู่ดวงตาได้ง่าย หรือแค่ฝุ่นละอองปลิวเข้าตา ก็อาจพาเชื้อ อะแคนทะมีบา เข้าไปได้ด้วยเหมือนกัน ส่วนผู้ที่ไม่มีเวลาทำความสะอาดล้างเลนส์ แนะนำให้ใส่ชนิดรายวันแล้วทิ้ง หรือเปลี่ยนเป็นใส่แว่นตาจะปลอดภัยกว่า เพื่อให้ดวงตาคู่สวยของคุณมองเห็นโลกสดใสและจะอยู่คู่ชีวิตคุณได้ตลอดไป.

อาการคัน

อาการคันเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย แต่ใครจะรู้บ้างว่า อาการคันนั้นเกิดจากสาเหตุใดบ้าง
อาการคันเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย เมื่อคันแล้วก็ต้องเกา ๆๆ แต่ใครจะรู้บ้างว่า อาการคันนั้นเกิดจากสาเหตุใดบ้าง
เกี่ยวกับเรื่องนี้ รศ.พญ.พรทิพย์ ภูวบัณฑิตสิน สาขาตจวิทยา (ผิวหนัง) ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อธิบายว่า อาการคันเป็นความรู้สึกที่ผิวหนัง ยากที่จะอธิบายให้เข้าใจ บางครั้งคล้ายแมลงไต่ ทำให้รำคาญ หงุดหงิด
อาการคันเกิดที่ผิวหนังทั่วร่างกาย และเยื่อบุตา อาการคันจะมากหรือน้อยจะแตกต่างกันในแต่ละบุคคล ผู้ป่วยที่เป็นโรคเดียวกันอาการคันจึงแตกต่างกัน แต่ละส่วนของร่างกายก็ไวต่ออาการคันต่างกัน ที่รุนแรงพบบริเวณรอบทวารหนัก รอบอวัยวะเพศ ช่องหู เปลือกตาและช่องจมูก ในแต่ละส่วนของร่างกายมีความไวต่ออาการคันต่างกัน ดังนั้นโรคเดียวกันผื่นอยู่คนละแห่งก็จะคันต่างกัน
ความรุน แรงของอาการคันในแต่ละบุคคลจะแตกต่างกันขึ้นกับหลาย ปัจจัย เช่น สภาพจิต บุคคลซึ่งเคร่งเครียด วิตกกังวล อารมณ์อ่อนไหว ขี้กลัว โกรธง่าย จะมีอาการคันมากกว่าบุคคลซึ่งมีสภาพจิตปกติ
เวลาและอุณหภูมิ ก็มีส่วน โดย กลางคืนจะคันมากกว่าเวลากลางวัน เพราะการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติในเวลากลางคืนเพิ่มขึ้น เป็นผลให้หลอดเลือดขยายตัวเป็นปัจจัยตัวกระตุ้นให้คัน และความอบอุ่นในเวลากลางคืน ยังทำให้สมองส่วนกลางซึ่งควบคุมความรู้สึกคันไวต่ออุณหภูมิที่ร้อนเพิ่มขึ้น ในผู้ป่วยซึ่งมีอาการคันในเวลากลางคืนมักเป็นโรคไม่ใช่สาเหตุจากด้านจิตใจ และโรคผิวหนังบางโรคผู้ป่วยจะเกาประมาณร้อยละ 10 ของเวลาหลับ
สาเหตุการเกิดอาการคัน มีดังนี้
1.การเปลี่ยนแปลงชั้นผิวหนัง คันจากการสัมผัส สารระคาย หรือสารภูมิแพ้ สารใยแก้ว หนามและขนของแมลง พืชบางชนิดก็ทำให้คันได้ การเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม อากาศร้อน ลมแรง อากาศหนาว อากาศแห้งก็เป็นปัจจัยทำให้ผิวหนังแห้ง และเกิดอาการคันตามมา
2.คันจากโรคผิวหนัง โรคผิวหนังส่วนใหญ่จะมีอาการคันร่วมด้วย แต่ความรุนแรงจะขึ้นกับสภาพจิตและความไวของแต่ละบุคคล ผื่นคันเฉพาะที่พบบ่อย คือ ผื่นแพ้สัมผัส ผื่นแพ้ผิวหนัง กลาก ผื่นคันทั่วตัว เช่น ลมพิษ โรคหิด และ ผื่นคันไม่ทราบสาเหตุเฉพาะที่ เช่น ผื่นบริเวณอวัยวะเพศ และรอบทวารหนัก
3.โรคแฝงในอวัยวะอื่นอาจพบรอยผื่นเกาทั่วตัวไม่พบลักษณะจำเพาะเจาะจงของโรคผิวหนัง อาการคันเป็นอาการที่นำมาพบแพทย์ เช่น ต่อมไทรอยด์เป็นพิษ โรคตับ โรคไต โรคโลหิตและมะเร็งต่าง ๆ ภาวะหมดประจำเดือน และโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง
4.คันจากความผิดปกติของระบบปลายประสาท เช่น ปลายประสาทอักเสบจากโรคงูสวัด และเริมใน
5.สาเหตุอื่น ๆ อาการคันอาจเกิดจากสารสื่อในสมองปรวนแปร และอาจเกิดจากปัญหาทางจิตใจ
การรักษาผื่นคันในระยะเฉียบพลันอาจทุเลาด้วยความเย็น เช่น การอาบน้ำเย็น ประคบด้วยน้ำเย็น ยาทาคาลาไมด์ ควรทำด้วยความนุ่มนวล เพราะการขัดถูแรง ๆ ทำให้ผื่นเห่อได้ ในผู้ป่วยลมพิษถ้ามีอาการหายใจไม่สะดวกควรพบแพทย์
ส่วนผื่นคันเรื้อรังต้องพบแพทย์ผิวหนังเพื่อวินิจฉัยโรค เช่น ผื่นคันทั่วตัวเรื้อรังชนิดคันมากที่สุด คือ โรคหิด มีลักษณะผื่นเฉพาะ เป็นตุ่มและรอยเกา ในบริเวณซอกนิ้ว รักแร้ หน้าผาก หน้าขา อัณฑะ และองคชาต คันมากในเวลากลางคืน และเป็นโรคติดต่อในผู้ใกล้ชิด ส่วนโรคผิวหนังอื่นที่มีผื่นทั่วตัวต้องวินิจฉัยโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้การรักษาต่อไป ในรายมีโรคภายในแฝง การตรวจร่างกายและทดสอบทางห้องปฏิบัติการก็จะวินิจฉัยโรคได้ และเมื่อรักษาโรคแฝงอาการคันจะทุเลาได้
เมื่อเกิดผื่นคันอย่าตื่นตกใจ ผื่นผิวหนังร้อยละ 80 จะหายได้เอง ควรตั้งสติพิจารณาว่าเกิดจากสาเหตุใด และเมื่อหลีกเลี่ยงก็ยังไม่ทุเลาควรพบแพทย์ ส่วนการรักษาในเบื้องต้นเพื่อระงับอาการ คือ ประคบด้วยความเย็น รับประทานยาแก้แพ้คลอเฟนิรามีน ควรงดการใช้สบู่บริเวณคันเพราะระคายและทำให้ผิวแห้ง หลายท่านชอบใช้ยาหม่อง เมนโทลาทัม อาการคันลดลงได้แต่อาจเกิดปัญหาการระคายเคืองตามมา ส่วนการใช้ยาผงโรยอาจรู้สึกหาย คันเพราะแป้งทำให้เย็น แต่ด้วยยาฆ่าเชื้อในผงอาจทำให้แพ้ตามมาจึงไม่ควรใช้
ถ้าคันแล้วยังไม่มีเวลาไปพบแพทย์จะทำอย่างไร ? หลายท่านอาจแนะนำว่าอย่าเกาซึ่งไม่ใช่ทางออก เพราะคันก็ต้องเกาจึงจะหายคัน แต่ควรเกาแบบมีสติ คือ เกาเบา ๆ ไม่ใช่เกาแบบรุนแรง ก็จะช่วยทุเลาอาการได้.

ช็อกโกแลต ซีสต์ ปวดท้องประจำเดือน

ภัยเสี่ยงหญิงตัดมดลูกทิ้ง...มีบุตรยาก!!!
ผู้หญิงเมื่อประจำเดือนมาทีไร หลายคนมัก มีอาการปวดท้องร่วมด้วยเสมอ แต่หากปวดมากและบ่อยครั้งขึ้น พึงระวัง...อาจเป็น ช็อกโกแลต ซีสต์ ได้!
นพ.อุดมศักดิ์ ศรีแสงนาม ผู้เชี่ยวชาญด้านสูติ-นรีเวช โรงพยาบาลบางปะกอก 9 อินเตอร์ เล่าถึงการเกิดของโรคช็อกโกแลต ซีสต์ ให้ฟังว่า โดยปกติในระหว่างรอบประจำเดือน เยื่อบุมดลูกจะมีการเปลี่ยนแปลง คือ ใน 1 รอบประจำเดือน จะยาวประมาณ 28 วัน ซึ่งอาจสั้น หรือยาวกว่านี้ ในแต่ละบุคคล โดยนับวันที่ประจำเดือนหมด คือ ประมาณวันที่ 5 รังไข่จะผลิตฮอร์โมนเพศสตรีมากระตุ้นเยื่อบุมดลูกให้เจริญและหนาตัวขึ้น มีเส้นเลือดนำอาหารมาเลี้ยงมากขึ้นเพื่อเตรียมรับการตั้งครรภ์
ประมาณวันที่ 14 ของรอบเดือน เยื่อบุมดลูกจะหนากว่าระยะเริ่มต้นถึง 10 เท่า และช่วงนี้จะมีการตกไข่ ไข่จะถูกจับเข้าไปในท่อนำไข่ และถ้าได้ปฏิสนธิ กับเชื้ออสุจิ จะเคลื่อนเข้าไปในมดลูกและฝังตัวอยู่ในเยื่อบุมดลูก ถ้าไข่ไม่ได้รับการปฏิสนธิ จะสลายตัวไป ระดับฮอร์โมนก็จะลดลงโดยมีการลอกหลุดตัวของเยื่อบุมดลูกกลายเป็นประจำเดือนออกมาประมาณวันที่ 28 ของรอบเดือนแล้วก็เริ่มต้นรอบเดือนใหม่เช่นนี้ไปเรื่อย ๆ ในทุก ๆ เดือน
แต่สำหรับโรคนี้ เมื่อผู้หญิงมีประจำเดือน ที่เยื่อบุโพรงมดลูกซึ่งจะมีลักษณะเป็นถุงน้ำที่ภายในมีเลือดเคลื่อนตัวออกจากโพรงมดลูกหลุดไปติดตามท่อนำไข่ แล้วไปเจริญเติบโตในอวัยวะต่าง ๆ เช่น อุ้งเชิงกราน ท่อรังไข่ ลำไส้ ช่องคลอด มดลูก กระเพาะปัสสาวะ โดยหากมารวมอยู่ที่ รังไข่จะเรียกว่า ช็อกโกแลต ซีสต์ มีลักษณะเป็นก้อนกลม ๆ เหมือนช็อกโกแลตซึ่งเป็นเลือดเก่า แทนที่จะออกมาทางช่องคลอดตามปกติ โรคนี้ทางการแพทย์เรียกว่า เยื่อบุโพรงมดลูกขึ้นผิดที่ (Endometriosis)
มีอาการปวดท้องน้อยเรื้อรังเมื่อมีประจำเดือน โดยจะปวดด้านหน้า ตั้งแต่สะดือไปถึงอุ้งเชิงกราน ส่วนด้านหลังตั้งแต่บั้นเอวไปถึงก้นกบ บางคนปวดมาก บางคนปวดน้อยปรากฏการณ์นี้จะเป็นเช่นนี้ทุก ๆ เดือนและเกิดปฏิกิริยาขึ้นทุกครั้งที่มีเลือดออกพร้อมกับการมีประจำเดือน ทำให้มีเยื่อพังผืดหนาตัวขึ้นเรื่อย ๆ ในอุ้งเชิงกราน บางครั้งถุงเลือดที่มีอยู่เดิมแตกออกมา ทำให้เลือดและเยื่อบุมดลูกกระจายไปเจริญขึ้นในที่อื่น ทำให้เพิ่มความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ การมีพังผืดตามอวัยวะต่าง ๆ มากเช่นนี้เป็นผลให้การตกไข่ออกจากรังไข่ไปไม่ดีหรือไปไม่ได้ และท่อนำไข่ก็ไม่สามารถทำงานในการจับไข่เข้าไปได้ เพราะมีการยึดรั้งจากพังผืดหรือทำให้ ท่อนำไข่ตีบตันเป็นสาเหตุสำคัญของการมีบุตรยาก
สิ่งที่จะบ่งชี้ว่าอาการปวดดังกล่าวเป็นอาการปวดท้องธรรมดาหรือเป็นอาการปวดของโรคนี้ คือ อายุ โดยจะพบมากในสตรีที่มีอายุ 30-40 ปี หรือวัยก่อนหมดประจำเดือน ในกรณีที่ไม่เคยปวดมาก่อน แต่พออายุ 30 ปีขึ้นไปแล้วกลับมีอาการปวดและปวดมากขึ้นเรื่อย ๆ ในแต่ละเดือน สันนิษฐานได้ว่าอาจปวดจากเยื่อบุโพรงมดลูกขึ้นผิดที่ได้ ฉะนั้น เยื่อบุโพรงมดลูกขึ้นผิดที่จะเกิดขึ้นกับผู้ที่มีประจำเดือนเท่านั้น โดยก่อนวัยมีประจำเดือนหรือวัยหมดประจำเดือนจะไม่พบโรคนี้
เนื่องจากเป็นโรคที่ยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด ส่วนมากเป็นทางกรรมพันธุ์ พบประวัติว่า มารดา พี่ น้อง เป็นโรคนี้ แต่โชคดี คือ มีเพียง 1 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่จะกลายเป็นเนื้อร้าย วิธีบรรเทาอาการปวดจึงรักษาตามอาการ หากมีอาการปวดเพียงเล็กน้อยจะประคบด้วยน้ำร้อน ปวดกลาง ๆ แต่ทนได้ให้ทานยาแก้ปวด ถ้าปวดมากต้องใช้ยาเฉพาะทาน
พบว่า ประมาณร้อยละ 43 ผู้ป่วยจะมาพบแพทย์หลัง มีอาการประมาณ 1 ปี การตรวจร่างกายมักไม่พบความผิดปกติ ที่ชัดเจน หลังการตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูงหรือการทำอัลตราซาวด์ อาจจะพบถุงน้ำที่รังไข่ ในบางครั้งอาจต้องใช้วิธีตรวจโดยการใช้กล้องส่องเข้าไปในช่องท้อง
กรณีถุงน้ำที่รังไข่มีขนาดเล็กอาจจะให้การรักษาด้วยยา ร้อยละ 60 ที่รักษาด้วยยาไม่ดีขึ้นต้องผ่าตัด จากการศึกษาพบว่า การรักษาอาการปวดที่เกิดจากภาวะช็อกโกแลต ซีสต์ แพทย์นิยมให้ผู้ป่วยฉีดยาคุมกำเนิดทุก 3 เดือน เป็นเวลา 12 เดือน หรือให้ทานยาเม็ดคุมกำเนิดฮอร์โมนต่ำ พบว่า ทั้งสองวิธีได้ผลสามารถทำให้ขนาดของช็อกโกแลต ซีสต์ลดลง
ภาวะของโรคช็อกโกแลต ซีสต์ ไม่เพียงแต่จะก่อให้เกิดอาการปวดทุกครั้งเมื่อมีประจำเดือน ไม่สามารถทำงานได้อย่างมีความสุข หากปล่อยทิ้งระยะเวลาไว้นานอาจทำให้เกิดการสร้างเยื่อพังผืดขึ้นมาล้อมรอบ ยิ่งถ้าเป็นบริเวณลำไส้ใหญ่จะทำให้ผ่าตัดได้ยาก เนื่องจากขณะทำการผ่าตัดเอาพังผืดออกอาจทำให้มีโอกาสทะลุไปโดนลำไส้ใหญ่ได้จำต้องผ่าตัดเพื่อเย็บลำไส้ซ้ำอีกครั้ง
นพ.อุดมศักดิ์ กล่าวว่า สตรีที่เป็นโรคนี้จะมีภาวะมีบุตรยากขึ้นกว่าคนไม่เป็นโรค บางรายแพทย์ตรวจพบโรคนี้จากการตรวจหาสาเหตุของการ ไม่มีบุตร เมื่อทำการรักษาหรือผ่าตัดช็อกโกแลต ซีสต์ออกไปแล้วอาจทำให้มีลูกได้ แต่ไม่ 100 เปอร์เซ็นต์ เพียงแต่มีโอกาสเพิ่มมากขึ้น
ถ้าเป็นแล้วไม่ต้องกลัว สามารถรักษาได้ แม้จะไม่หาย ขาดมีโอกาสกลับมาเป็นใหม่ได้อีก แต่ไม่ควรประมาท เพราะ ถ้าปล่อยให้เป็นมาก ๆ อาจถึงขั้นต้องตัดมดลูกทิ้ง ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำใจลำบากในผู้ป่วยบางราย จึงควรหมั่นดูแลสุขภาพ เช็กร่างกายตนเองอย่างสม่ำเสมอ เมื่อมีความผิดปกติเกิดขึ้นจะได้รักษาแก้ไขได้ทัน
เมื่อมีอาการปวดในระหว่างมีประจำเดือนอย่าชะล่าใจ...หากอาการปวดนั้นทวีขึ้นเรื่อย ๆ ทุกเดือน!!.

ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

ปวดเมื่อยอย่าทน MYOTHERAPY ช่วยคุณได้

วิถีชีวิตของคนทำงานออฟฟิศที่มีรูปแบบการทำงานแบบซ้ำๆ ทั้งนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ทั้งวัน
หรือการเข้าประชุมที่มีแต่ความเครียดเป็นเวลานานๆ และต้องทำงานยุ่งกับตัวเลข และการที่ต้องสะพายกระเป๋าใบใหญ่หรือหิ้วคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คไปพบลูกค้า ความซ้ำซากของการทำพฤติกรรมเหล่านี้ ส่งผลให้คนทำงานออฟฟิศส่วนใหญ่ มีอาการปวดเมื่อยตลอดเวลาทั้งๆที่อายุก็ยังไม่มาก จนนำไปสู่อาการอื่น อาทิเช่น ปวดไมเกรน ปวดคอ บ่า หลัง รวมถึงการนอนไม่หลับ หรือหลับและตื่นบ่อย ตอนเช้ามีอาการมึนศีรษะไม่สดชื่น ทำให้คนกลุ่มนี้ต้องหันไปผ่อนคลายความปวดเมื่อยจากการนวดสปา นวดแผนโบราณ และเพิ่มเติมเรื่องการใช้ยาแก้ปวด หรือยาคลายกล้ามเนื้อเป็นประจำ แต่อาการดังกล่าวยังคงเป็นอย่างต่อเนื่อง
ศูนย์ดูแลกล้ามเนื้อและโรคปวด DOCTORCARE ใช้ประสบการณ์กว่า 3 ปี ในการรักษาผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อและโรคปวดเรื้อรังกว่า 1,200 คน คิดค้นและ พัฒนาโปรแกรม MYOTHERAPY (ไมโอเทอร์ราปี โดย Myo แปลว่า กล้ามเนื้อ) ซึ่งเป็นโปรแกรมการดูแลกล้ามเนื้อบำบัดอาการที่เกี่ยวข้องกับการ ทำงานออฟฟิศ และการใช้คอมพิวเตอร์โดยเฉพาะ ด้วยโปรแกรมการบำบัดเพียง 45 นาที
โปรแกรม MYOTHERAPY เป็นโปรแกรมพิเศษที่ออกแบบมาเฉพาะบุคคล ทำให้วิธีการและขั้นตอนการบำบัดของแต่ละคนแตกต่างกันไป เนื่องจากปัญหาและตำแหน่งของการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อของแต่ละคน ไม่เหมือนกัน โดยโปรแกรมได้ผสมผสานเทคนิคการคลายกล้ามเนื้อและการกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ที่หลากหลายเพื่อประสิทธิภาพในการคลายตั้งแต่กล้ามเนื้อชั้นบน จนถึงกล้ามเนื้อที่อยู่ลึกสุด ด้วยวิธีการ
1. ยืดกล้ามเนื้อ (Stretching) สำหรับการคลายกล้ามเนื้อมัดใหญ่
2. นวดแบบกดลึก (Deep Tissue Massage) สำหรับกล้ามเนื้อส่วนบน และกล้ามเนื้อ มัดเล็ก
3. นวดกดจุด (Accupressure) สำหรับการคลายกล้ามเนื้อที่อยู่ลึกสุด และ Trigger Point
4. การทำ Joint Manipulation สำหรับการทำให้ข้อต่อต่างๆ เคลื่อนไหว ได้อย่างปกติ ป้องกันแคลเซี่ยมมาเกาะหัวไหล่และเข่า
5. การออกแบบท่าบริหารกล้ามเนื้อเฉพาะส่วน (Exercise Prescription) ที่ถูกออกแบบขึ้นสำหรับคุณ เพื่อการป้องกันการกลับมาของการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อ
ด้วยการทำงานร่วมกันของเทคนิครักษาแบบเฉพาะนี้ จะส่งผลให้กล้ามเนื้อที่มีการเกร็งตัวสะสม ในทุกระดับคลายตัวออกอย่างรวดเร็ว ลดการกดทับเส้นเลือด และเส้นประสาท ส่งผลให้ระบบการไหลเวียน ของเลือด และการสั่งงานของเส้นประสาทเป็นไปได้อย่างปรกติ ทำให้ความรู้สึกหนักจากการกดทับ บริเวณคอ บ่า หายไป อาการมึนศีรษะ หรือ ตาพร่า ไม่สดชื่นดีขึ้น เนื่องจากเลือด และออกซิิเจน สามารถไปเลี้ยงบริเวณศีรษะและตาได้ อาการชาต่างๆ หายไป และผลในระยะยาวจะช่วยให้มีสุขภาพและบุคลิกที่ดีขึ้น และยังเคลื่อนไหวได้คล่องตัวไม่ติดขัด และป้องกันการก่อตัวของโรคปวดต่างๆ เมื่ออายุมากขึ้น
นอกจากนี้ แพทย์อายุรเวท วิภาพร สายศรี แพทย์อายุรเวทประจำ DOCTORCARE ได้ศึกษาพฤติกรรมการใช้ชีวิตในที่ทำงานของผู้ป่วยและพบว่า 5 สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดอาการปวดเรื้อรัง ในที่ทำงานคือ
1. พฤติกรรมการสะบัดคอหรือหลังให้มีเสียงดัง เพราะเชื่อว่าทำให้หายเมื่อย แต่ความจริงพฤติกรรมเหล่านี้ทำให้ข้อต่อกระดูกหลวม
2. การนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ ต่อเนื่องกันเกิน 2 ชั่วโมง เพราะทำให้กล้ามเนื้อบริเวณคอ บ่า และสะบักเกร็งตัวมากเกินไป
3. การนั่งไขว่ห้างเวลาทำงาน เพราะส่งผลต่อการเกร็งกล้ามเนื้อหลังทำให้ปวดหลังส่วนล่าง
4. การใช้คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คในที่ทำงาน แทนการใช้คอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะ เพราะต้องก้มคอและเกร็งแขนมาก
5. การสะพายกระเป๋าใบใหญ่ๆ และมีน้ำหนักมาก รวมไปถึงการพกพาโน้ตบุ๊คไปด้วยทุกที่และถือเป็นเวนาน ส่งผลต่อกล้ามเนื้อไหล่เกิดอาการเกร็ง และเกิดอาการปวดไหล่
นอกจากนี้ยังมีเคล็ดลับดีๆ ที่ควรทำมาฝาก คือ
1. ควรวางแขนตั้งแต่ศอกลงไปถึงข้อมือไว้บนโต๊ะเวลา ใช้คียบอร์ด และยืดกล้ามเนื้อประมาณ 10 นาที เมื่อการใช้คอมพิวเตอร์ติดต่อกันสองชั่วโมง
2. ควรใช้กระเป๋าแบบล้อลากแทนกระเป๋าสะพายคอมพิวเตอร์และเอกสารหนักๆ เวลาไปพบลูกค้า
3. ใช้หมอนรองบริเวณหลัง เวลานั่งเก้าอี้สำนักงาน เพื่อป้องกันการปวดหลัง
4. พบผู้เชี่ยวชาญด้านกล้ามเนื้อ เพื่อตรวจสอบเมื่อมีอาการเมื่อยบ่อย ไม่ควรปล่อยจนมีอาการปวด
โปรแกรม MYOTHERAPY ได้คัดสรรบุคลากรที่ผ่านการเรียน และฝึกปฎิบัติด้่าน การคลายกล้ามเนื้อ มาไม่ต่ำกว่า 4 ปี ทำให้การบำบัดเป็นไปอย่างถูกต้องตาม หลักกายวิภาคไ ม่มี อันตรายและผลข้างเคียง

สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์ดูแลกล้ามเนื้อและโรคปวด DOCTORCARE

กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน

ในทุก ๆ 1 ชั่วโมงจะมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 1 คนด้วย โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน และจะมีสถิติเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะหัวใจเป็นอวัยวะที่ทำงานหนักที่สุดตลอดทั้งชีวิต การปั๊มเลือดที่มีสารอาหารและออกซิเจนไปเลี้ยงสมองและอวัยวะสำคัญ ทั่วร่างกายต้องอาศัยกล้ามเนื้อ และหลอดเลือดหัวใจที่แข็งแรง เมื่อหลอดเลือดอุดตัน กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดและทำงานลดลง อาจนำไปสู่ขั้นเสียชีวิตได้
สาเหตุของการเกิดโรคร้ายแรงนี้ นายแพทย์ระพินทร์ กุก เรยา หัวหน้าอายุรแพทย์หัวใจ โรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพ ให้ความรู้ว่า อาการกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันมีสาเหตุมาจากการตีบตัน แคบลงของหลอดเลือดแดง เนื่องจากมีไขมันและคอเลสเตอรอลไปเกาะที่ผนัง ของหลอดเลือด โดยผู้ป่วยจะมีอาการแสดงออกเมื่อมีการตีบตันมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป ในลักษณะเจ็บแน่นหน้าอกเวลาออกแรงมาก ๆ เครียด หรือหลังจากทานอาหารมื้อหนัก ส่วนมาก 75 เปอร์เซ็นต์ของผู้ป่วยจะเจ็บบริเวณกลางหน้าอก คล้ายมีอะไรบีบรัดหรือกดทับและอาจร้าวไปที่คอ กราม ไหล่ซ้าย หรืออาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น เหงื่อออก หน้ามืด อาเจียน ซึ่งอาการเจ็บดังกล่าวหากนั่งพักจะหายไปเอง
แต่อาการที่น่ากลัวคือ กลุ่มผู้ป่วยที่ไม่เคยมีอาการทำให้เสียชีวิตกะทันหัน เช่น เล่นกีฬาแล้วเสียชีวิต ส่วนใหญ่เป็นผู้ชายวัยทำงานที่ร่างกายแข็งแรงดีไม่เคยมีโรค จึงต้องเฝ้าระวังเพราะคนที่มีอาการจะทราบและดูแลตัวเองดี แต่คนที่ไม่มีอาการจะไม่ค่อยสังเกตตัวเองจึงเสียชีวิตอย่างกะทันหัน โดย ผู้ที่มีความเสี่ยงโรคนี้ได้แก่ ผู้ที่มีโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง สูบบุหรี่ เครียด ขาดการออกกำลังกาย อย่างสม่ำเสมอ ผู้ชายอายุ 40 ปี ขึ้นไปแต่ปัจจุบัน 35 ปีขึ้นไปก็เริ่มเสี่ยงแล้ว เพราะมีปัจจัยแวดล้อมเสริม เช่น กินเหล้า สูบบุหรี่ อดนอน กินอาหารฟาสต์ฟู้ดที่มีไขมันมาก ส่วนผู้หญิงจะมีอายุมากกว่า 55 ปีขึ้น ไปเนื่องจากดูแลตัวเองดีเลือก กินอาหารเพราะกลัวอ้วนและมีฮอร์โมนเพศหญิงช่วยคุมไขมัน
การสะสมของไขมันในผนังหลอดเลือดเกิดขึ้นตั้งแต่ วัยเด็กเป็นปื้นสีเหลืองและจะมากขึ้นเรื่อย ๆ หากเรายังคงมีพฤติกรรมรับประทานอาหารที่ มีไขมันและคอเลสเตอรอลสูง จึงสะสมเพิ่มจนกลายเป็นแอ่งไขมันในผนังมีเปลือกหุ้มไว้บาง ๆ เมื่อเปลือกหุ้มไขมันนี้ปริแตกออกทำให้ไขมันข้างใต้ออกมาสัมผัสเม็ดเลือดแดง และจับกันเป็นกลุ่มเกิดการ อุดตันหลอดเลือดทันที ทำให้เกิดภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน ดังนั้นหากมีอาการแน่นหน้าอกเวลาออกแรง พักแล้วหาย ออกแรงใหม่ก็เป็นใหม่ เหนื่อยเร็วกว่าปกติควรรีบมาพบแพทย์ทันทีเพื่อรักษา
การรักษาที่ดีที่สุดคือ การใช้ลูกโป่งขยายหลอดเลือด ซึ่งที่โรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพมีห้องปฏิบัติการสวนหัวใจและมีทีมงานพร้อม แพทย์ผู้ชำนาญจะใช้ ลวดเล็ก ๆ สอดผ่านหลอดเลือดที่ตันและทำการขยายหลอดเลือดด้วยลูกโป่ง วิธีนี้พบว่าสามารถเปิดหลอดเลือดได้สำเร็จ 90 เปอร์เซ็นต์และมีประโยชน์มากกับผู้ป่วยที่หัวใจขาดเลือดจนช็อก ส่วนผู้ป่วยที่มีอาการไม่ตีบตันมากจะใช้วิธีการรักษาโดยการทานยาซึ่งไม่ สามารถทำให้หายขาดได้ แต่มีอาการตีบตันช้าลง ช่วยให้ไขมันที่เกาะทรงตัวได้ดีไม่ปริแตกรวมทั้งลดขนาดไขมันบางชนิด
นอกจากนี้ทางโรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพได้เล็งเห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องมี บุคลากรและเครื่องมือในการรักษา และ เชื่อมั่นว่า ทางโรงพยาบาลฯ มีความพร้อมที่จะรักษาผู้ป่วยได้เพิ่มมากขึ้นเพื่อช่วยเหลือคน ไทยให้ได้รับการรักษาอย่างทั่วถึง โดยร่วมมือกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ให้ผู้มีสิทธิตามระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (ผู้ป่วยบัตรทอง) สามารถเข้ารับการรักษาโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันได้ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจนถึง 30 เมษายน 2553 ที่โรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพ
วิธีการรักษาจะให้ยาละลายลิ่มเลือดหรือทำการสวนหัวใจขยายหลอดเลือดที่อุดตัน ด้วยลูกโป่ง และมักจะใส่ขดลวดให้กับผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บหน้าอกจากการขาดเลือดไปเลี้ยง กล้ามเนื้อหัวใจโดยเฉียบพลัน ซึ่งผู้ป่วยสามารถขอรับการรักษาได้เองและต้องมีบัตรทองที่ระบุโรงพยาบาลต้น สังกัดหรืออาจมาจากการส่งต่อ แต่ต้องมีใบส่งตัวจากโรงพยาบาลต้นสังกัด สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่โทร. 1719
โรคหลอดเลือดหัวใจอุดตันเป็นโรคร้ายแรงมีอัตราการเสีย ชีวิตสูง นายแพทย์ระพินทร์ จึงแนะนำว่าวิธีการรักษาต่าง ๆ เป็นแค่การรักษาเบื้องต้นเท่านั้นแต่ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การป้องกันก่อนที่โรคจะเกิดขึ้นหรือการเป็นซ้ำเพราะเส้นเลือดไม่มีการหยุด นิ่งอยู่กับที่ บางทีรักษาตรงนี้หายแต่อาจจะไปอุดตันที่บริเวณจุดอื่น จึงควรลดปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ โดยเฉพาะการควบคุมไขมันจากอาหาร เบาหวาน ความดันโลหิต ให้อยู่ในระดับปกติ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ งดดื่มเหล้า สูบบุหรี่ และเจาะเลือดตรวจไขมันเป็นประจำ รวมทั้งกินผักผลไม้ให้มากขึ้นด้วยเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

รู้มั้ยว่า..การกัดเล็บ เป็นโรคชนิดหนึ่ง

ปัจจุบันคนที่ชอบกัดเล็บไม่ได้มีเฉพาะในเด็กเท่านั้น แต่ผู้ใหญ่ก็ยังมี

รวมแล้วทั้งเด็กและผู้ใหญ่นิยมที่จะกัดเล็บตัวเองมีจำนวนมากกว่า 600 ล้านคน (ข้อมูลจากหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ) และพบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง บางคนนิยมกัดเล็บเท้าของตัวเองด้วย ฟังดูน่าเหลือเชื่อ แต่ก็เป็นความจริง
โรคกัดเล็บ หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า Nail Biting มีชื่อในทางการแพทย์ว่า Chronic Onychophagia นั้น สาเหตุส่วนใหญ่เกิดมาจากความเครียด ซึ่งนอกจากจะทำให้เสียบุคลิกภาพแล้ว ยังบ่งบอกให้เห็นว่าคนๆ นั้นเป็นคนขาดความมั่นใจในตัวเอง ขี้อาย และ ไม่กล้าเผชิญหน้ากับความเป็นจริง ถ้าอาการรุนแรงมากอาจจะต้องไปพบจิตแพทย์ แต่ส่วนใหญ่โรคนี้รักษาให้หายขาดได้ด้วยการใช้ยา แต่ต้องอยู่ในการควบคุมของแพทย์ อาทิ ยารักษาอาการของโรคซึมเศร้า ยารักษาโรคจิตเวช ยากลุ่มวิตามินบี การสะกดจิต หรือที่เป็นนิยมอยู่ขณะนี้ในประเทศฮอลแลนด์คือ การใช้ที่ครอบฟัน แบบใส ครอบทั้งฟันล่างและฟันบน ที่สามารถถอดออกได้ขณะรับประทานอาหาร ตัวครอบฟันจะป้องกันการติดเชื้อโรคจากการกัดเล็บ ไม่ว่าจะเป็นเชื้อไวรัส หรือเชื้อแบคทีเรีย หรือน้ำลายในปากจะกัดผิวหนัง และเยื่อบุเล็บทำให้เกิดแผลที่ผิวหนัง และติดเชื้อโรคได้ง่ายขึ้น
ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Hair ฉบับภาษาไทย

วันอังคารที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2552

9 วิธีเพิ่มความปลอดภัยให้ระบบ Wireless ของคุณ

ลองมาดู 9 วิธีง่ายๆ ในการเพิ่มความปลอดภัยให้กับระบบ Wireless LAN ของคุณกันดีไหมครับ

1. เปลี่ยน username และ password admin ของตัวอุปกรณ์คุณจากค่ามาตรฐาน

ผมคิดว่าส่วนใหญ่แล้วตัวอุปกรณ์ที่เราใช้ในการกระจายสัญญาณไร้สายคงจะหนีไม่พ้นตัว all-in-one ที่มีทั้ง ADSL router+Switch+Access Point ครบในตัว หรือบางคนอาจจะใช้เป็นแบบ Wireless Router เพราะว่ามีโมเด็มอยู่แล้ว หรือไม่ก็อาจจะใช้เป็น Wireless Access Point เพียวๆ ไปเลย ซึ่งในการเซ็ตอัพอุปกรณ์ต่างๆ ที่กล่าวมาเหล่านี้นั้น ทางผู้ผลิตตัวอุปกรณ์จะให้ทำการเซ็ตอัพผ่านหน้าเว็บซึ่งจะต้องมีการใส่ชื่อและรหัส (username&password) ก่อนที่จะทำการเข้าไปเปลี่ยนค่าต่างๆ ได้ [คำไม่พึงประสงค์] username และ password ที่ว่านี่แหละครับ ที่ควรจะทำการเปลี่ยนไปจากค่าที่โรงงานตั้งให้ เพราะส่วนใหญ่แล้วเวลาที่ Hacker จะเจาะระบบก็จะใช้ default username และ default password เหล่านี้แหละครับในการลองผิดลองถูกเป็นอันดับแรก? …. แล้วคุณหละ เปลี่ยนหรือยัง?

2. เปิดฟังก์ชั่นการเข้ารหัสแบบ WPA/WEP

ไม่ว่าจะเป็นยี่ห้ออะไรก็ตามครับจะต้องมีการเข้าหรัส (encryption) ซึ่งโดยหลักการง่ายๆ ก็คือว่าข้อมูลที่ถูกส่งไปมาอยู่บนอากาศนั้นจะถูกเข้าหรัสก่อนเพื่อไม่ให้ใครก็ตามที่ไม่หวังดีขโมยข้อมูลไปซึ่งก็จะเป็นข้อมูลที่อ่านไม่รู้เรื่องเพราะโดนเข้ารหัสไว้ ดังนั้นคุณก็ควรที่จะทำการเข้ารหัสที่ว่านี้ไว้ด้วยนะครับ ซึ่งในทุกๆ ครั้งเมื่อเราต้องการที่จะทำการเชื่อมต่อสัญญาณไร้สาย เราก็จะต้องทำการใส่รหัสที่ว่านี้ด้วยครับ หรือถ้าเรามีการบันทึกไว้ที่เครื่องของเราอยู่แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องใส่รหัสที่ว่านี้ครับ อ้อ … ผมแนะนำให้ใช้เป็นแบบ WPA นะครับ จะปลอดภัยกว่า WEP

3. เปลี่ยนค่า SSID จากค่ามาตรฐาน

SSID ย่อมาจากคำว่า Service Set Identify หรือบ้านเราก็เรียกกันง่ายๆ ว่าชื่อเสา wireless นั่นแหละครับ ซึ่งโดยปกติแล้วค่าปกติของชื่อนี้จะถูกเรียกตามชื่อของยี่ห้อสินค้าครับ เช่น NETGEAR ก็จะตั้ง SSID ของอุปกรณ์ทุกตัวว่า NETGEAR เช่นเดียวกัน จริงอยู่ครับที่การรู้ชื่อ SSID นั้นไม่ได้หมายความว่าใครก็ตามจะเจาะเข้ามาใช้ระบบคุณได้ แต่มันเป็นจุดเริ่มต้นครับ! เมื่อไหร่ก็ตามที่ใครบางคนค้นหาและเจอ default SSID เค้าจะเห็นได้ทันทีว่าระบบของคุณเป็นระบบที่หละหลวมและอาจจะง่ายต่อการเจาะระบบไงหละครับ … เปลี่ยนมันเถอะครับ ดีกว่า

4. เปิดฟังก์ชั่น MAC Address Access Control

อุปกรณ์แต่ละตัวที่มีระบบ IP จะต้องมีหมายเลขอยู่หนึ่งชุดที่ใช้ในการระบุตัวตน ภาษาอย่างเป็นทางการเค้าจะเรียกว่า “MAC Address” หรือบางคนอาจจะเรียกว่า “Hardware Address” หรือ “Physical Address” ก็ได้นะครับ ซึ่งในอุปรณ์ wireless จำพวก All-in-One, Wireless Router หรือ Wireless Access Point จะมีฟังก์ชั่นสำหรับตรวจสอบหมายเลข MAC Address ดังกล่าวว่า เพื่อที่จะอนุญาติให้เฉพาะหมายเลขที่เราต้องการ ใช้งานระบบเครือข่ายของเราได้ …. ฟังก์ชั่นนี้แหละครับที่เค้าเรียกว่า MAC Address Access Control ซึ่งถ้าเราเปิดฟังก์ชั่นนี้ไว้ เราก็จะสามารถสร้างความปลอดภัยได้เพิ่มขึ้นมาจากการเปิดฟังก์ชั่น WPA/WEP Encryption ไงหละครับ

5. ปิดฟังก์ชั่นการกระจายสัญญาณค่า SSID (SSID Broadcast)

จำได้ใช่ไหมครับว่า SSID มันคือชื่อของเสาสัญญาณไร้สายนั่นเอง ซึ่งถ้าเราปิดฟังก์ชั่นการกระจายค่า SSID แล้วหละก็ เวลาที่ใครเค้าค้นหาเสาสัญญาณก็จะไม่เห็น SSID ของเรายังไงหละครับ และถ้าเวลาที่เราการเชื่อมต่อ ก็เพียงแต่ให้เรากรอกค่า SSID ที่เราได้เซ็ตอัพไว้เท่านั้นแหละครับ วิธีนี้ก็ถือเป็นวิธีที่ดีอีกหนึ่งวิธีครับ

6. ใช้ Static IP แทน Automatic IP ให้กับอุปกรณ์ในระบบเครือข่าย

ระบบเครื่อข่ายทั่วไปโดยปกติแล้วจะใช้ระบบ automatic IP โดยมีตัว DHCP เป็นตัวจ่าย IP ไปให้กับเครื่องทุกเครื่องในระบบ แต่โชคร้ายที่ฟังก์ชั่นนี้จะอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้จู่โจมระบบของคุณไงครับ เพราะเพียงแค่เชื่อมต่อเข้ามาได้แล้วก็ได้รับ IP ไปง่ายๆ สบายอุราเลย ดังนั้น ถ้าเครื่องในระบบเครื่อข่ายไม่เยอะนัก การใช้ static IP ก็น่าจะทำให้ระบบมีความปลอดภัยเพิ่มขึ้นอีกระดับนะครับ

7. วางตัว Wireless Router หรือ Access Point ให้อยู่ในที่ที่ปลอดภัย

หลายคนอาจจะงงว่ามันเกี่ยวกันด้วยเหรอ? ลองฟังคำตอบดูนะครับ …

ในปัจจุบันนี้ระยะทางของสัญญาณไร้สายจะครอบคลุมได้ในระดับนึงใช่ไหมครับ ดังนั้นหากว่าเราวางตัวอุปรณ์ไว้ไกล้ๆ หน้าต่างหรือประตูบ้านแล้วหละก็ คนทั่วๆ ไปที่อยู่ตามท้องถนนหรืออยู่ข้างบ้านของคุณก็อาจจะค้นหาสัญญาณไร้สายของคุณเจอและพยายามทำการเชื่อมต่อเข้ามา แต่ถ้าเราเอาตัวอุปกรณ์กระจายสัญญาณไปวางไว้ในจุดกึ่งกลางของพื้นที่ที่เราต้องการ คนที่อยู่นอกบ้านเราอาจจะเห็นสัญญาณอ่อนๆ หรือแทบจะไม่มีสัญญาณเลยไงหละครับ นี่จึงเป็นอีกวิธีที่จะทำให้ระบบเรามีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ยิ่งถ้าเป็นอุปกรณ์ Wireless Access Point สำหรับ Business Series นะครับ เค้าจะมีฟังก์ชั่น Adjust Power Transmition?ติดมาด้วยครับ ซึ่งเราสามารถเซ็ตได้เลยแหละว่าจะให้ปล่อยสัญญาณความแรงขนาดไหน เช่น?100%, 75%, 50% หรือ 25% เป็นต้น

8. ปิดระบบต่างๆ ถ้าไม่ได้ใช้นาน

แน่นอนที่สุดครับ ถ้าเราไม่ได้ใช้ก็ปิดมันซะ … แล้วใครจะมา hack ได้หละ ในเมื่อเราปิดมัน กั๊กๆๆ

9. สุดท้ายก็คือต้องทำตามทั้ง 8 ข้อที่บอกมาครับ

อาจจะไม่ต้องทั้งหมด ขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งานของเราเอง ซึ่งก็แน่นอนแหละครับ เมื่อระบบความปลอดภัยมากขึ้น ความยุ่งยากต่างๆ ก็ต้องตามมาด้วย เป็นเรื่องปกติครับ ต้องเลือกเอา …

วันพฤหัสบดีที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2552

โทษของน้ำอัดลม

-คุณแม่ยังสาวคนหนึ่งเสียชีวิตเนื่องจากไตวายทั้งสองข้าง เธอได้รับการรักษาที่รพ.เพอร์ทามิน่าเป็นเวลาหนึ่งเดือน โดยได้รับอนุญาตให้กินได้แค่น้ำ 1 แก้วในหนึ่งวันเท่านั้น หมอให้การรักษาเธอ แต่ดูเหมือนว่าจะสายไปเสียแล้ว เธอเล่าว่าเธอดื่มน้ำอัดลมตอนทานอาหารกลางวันทุกวัน แต่แม้ว่าเธอจะดื่มน้ำอัดลมเพียงวันละ 1 แก้ว มันก็สามารถทำลายอวัยวะภายในของเธอได้ ท้ายที่สุดเธอเสียชีวิตลงเมื่อเดือน ต.ค. ปีที่แล้ว โดยทิ้งบุตรชายวัย 1 ขวบไว้ น่าสงสาร!

น้ำอัดลมอันตราย!!! หัวข้อนี้ไม่ใช่เรื่องการเมืองแต่เป็นเรื่องซึ่งน่าสนใจมาก สำหรับผู้ที่ชอบดื่ม ซึ่งคิดว่าคุณรู้เรื่องเกี่ยวกับน้ำอัดลมดีแล้ว น้ำอัดลมสามารถ....

- ทำความสะอาดห้องน้ำโดยการรินลงในโถชักโครก ทิ้งไว้ 1 ชั่วโมงแล้วจึงกดชักโครก กรดซิติกในน้ำอัดลม จะขจัดคราบสกปรกได้อย่างดี
- ใช้กำจัดจุดสนิมบนกันชนรถโดยการขัดกันชนด้วยแผ่นอลูมิเนียมฟอยล์ ขยำเป็นชิ้นเล็กๆและจุ่มน้ำอัดลม
- ใช้ทำความสะอาดรอยกัดกร่อนบนสายแบตเตอรี่รถ โดยการรินให้ทั่วสายแบต ฟองที่เกิดขึ้นจะช่วยขจัดรอยดังกล่าวได้
- ช่วยทำให้รอยสนิมบนม้วนผ้าจางลง โดยการจุ่มผ้าในน้ำอัดลมประมาณ 2-3 นาที
- ช่วยอบแฮมที่ชื้นได้ โดยการเทน้ำอัดลม 1 กระป๋องลงในกระทะ ซึ่งตั้งไฟไว้แล้วใส่แฮมที่ห่อด้วยอลูมิเนียมฟอยล์ลงไป แกะฟอยล์ออก 30 นาทีก่อนแฮมสุก และผสมแฮมกับน้ำอัดลมจะได้น้ำเกรวี่สีน้ำตาล
- ช่วยขจัดรอยฝังแน่นจากผ้าโดยการเทน้ำอัดลม 1 กระป๋องลงบนผ้าสกปรก เติมน้ำยาซักผ้าและซักตามปกติ จะช่วยทำให้คราบฝังแน่นจางลง และยังช่วยทำความสะอาดรอยน้ำ ซึ่งกระเด็นจากถนนบนกระจกรถได้อีกด้วย

แล้วเราก็ดื่มสิ่งนี้ลงไป!!! ข้อมูลเกี่ยวกับน้ำอัดลม มีค่ากรดด่างเท่ากับ 3.4 โดยประมาณซึ่งค่าความเป็นกรดนี้สามารถกัดกร่อนฟันและกระดูกได้ ร่างกายคนเราจะหยุดสร้างกระดูก เมื่อเรามีอายุประมาณ 30 ปี หลังจากนั้นกระดูกจะกร่อนลงประมาณ 8-18% ในแต่ละปี โดยขึ้นอยู่กับความเป็นกรดของอาหารซึ่งบริโภคเข้าไป (ค่าความเป็นกรดไม่ได้ขึ้นกับรสชาติของอาหาร แต่ขึ้นกับค่าของธาตุโพแทสเซียม ,แคลเซียม ,แมกนีเซียม เช่นฟอสฟอรัส เป็นต้น) และจะถูกขับออกจากร่างกายทางปัสสาวะ ส่วนประกอบของแคลเซียมซึ่งมีศักยะภาพ ในการกัดกร่อนกระดูกจะไหลเวียน อยู่ในเส้นเลือดฝอย เส้นเลือดใหญ่เนื้อเยื่อและอวัยวะต่างๆ ซึ่งจะมีผลต่อการทำงานของตับ

น้ำอัดลมไม่มีคุณค่าทางโภชนาการแต่อย่างใด (ในแง่ของวิตามิน และแร่ธาตุ) แต่จะมีส่วนผสมของน้ำตาลสูง มีกรดสูงมาก และมีสารปรุงแต่งจำพวก วัตถุกันเสียและสีมากกว่า

บางคนชอบดื่มน้ำอัดลมเย็นๆหลังทานอาหารแต่ละมื้อ ลองเดาสิว่าคนเหล่านั้นได้รับผลกระทบอะไรบ้าง ร่างกายของคนเราขณะย่อยอาหารจะมีอุณหภูมิ 37 องศา แต่น้ำอัดลมเย็นๆ ที่ดื่มเข้าไปมีอุณหภูมิต่ำกว่า 37 องศามาก และมีอุณหภูมิเกือบจะ 0 องศาในบางครั้ง กรณีเช่นนี้ทำให้ประสิทธิภาพในการย่อยอาหาร ของร่างกายต่ำลง การย่อยอาหารทำได้ยากขึ้นและย่อยอาหารได้น้อยลง

ในความเป็นจริงแล้ว อาหารในร่างกายจะเสียและส่งแก๊สซึ่งมีกลิ่นเหม็นออกมา อาหารจะเน่าเปื่อย และทำให้เกิดสารพิษซึ่งจะถูกดูดซึมในลำไส้ และจะไหลเวียนในระบบเลือดไปทั่วร่างกาย สารพิษซึ่งแพร่ออกไปทั่วร่างกายนี้จะส่งผลให้เชื้อโรคต่างๆเจริญเติบโตได้ดี ขึ้น

คิดให้ดีก่อนที่คุณจะดื่มน้ำอัดลม คุณเคยคิดเวลาคุณดื่มน้ำอัดลมหรือไม่ว่าคุณดื่มอะไรเข้าไปคุณกำลังกลืนสาร คาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นสารที่ไม่มีใครในโลกจะแนะนำให้คุณดื่ม

สองเดือนต่อมา มีการแข่งขันในมหาวิทยาลัย เดลฮี ว่า "ใครดื่มน้ำอัดลมได้มากที่สุด" ผู้ชนะดื่มน้ำอัดลมเข้าไป 8 ขวด และเสียชีวิตทันทีเพราะมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดมากเกินไป และมีก๊าซออกซิเจนในเลือดไม่เพียงพอ หลังจากนั้น ผู้อำนวยการจึงสั่งห้ามขายน้ำอัดลมในห้องอาหารของมหาวิทยาลัยอีก

มีคนใส่ฟันซึ่งหลุดแล้วลงไปในขวดเป๊ปซี่ และมันถูกกัดกร่อนในเวลา 10 วัน ฟันและกระดูกเป็นอวัยวะในร่างกายเพียงอย่างเดียวซึ่งสามารถคงอยู่ได้อีกหลาย ปีหลังจากที่มนุษย์เสียชีวิตลง ลองคิดดูสิว่าน้ำอัดลมจะมีผลอย่างไรต่อลำไส้อ่อนๆ และกระเพาะอาหารของเรา

วันจันทร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ลิปสติก


ลิปสติก คือ เครื่องสำอางที่ใช้แต่งริมฝีปาก มักเป็นสีแดงหรือสีชมพู ทำให้ริมฝีปากสวยงาม และปกปิดความบกพร่องของริมฝีปาก
ประเภทของลิปสติก
1. ลิปสติกแต่งสีริมฝีปาก แบ่งเป็น ลิปสติกชนิดสีติดทน ลิปสติกโปร่งใส ลิปสติกเหลว และลิปสติกครีม
2. ลิปกลอส (lip gloss) เป็นลิปสติกไม่มีสี หรือสีอ่อนมาก ใช้ป้องกันริมฝีปากแห้งแตก เพื่อให้เกิดความมัน นุ่มเนียน
ลักษณะลิปสติกที่ดี
1. ควรมีเนื้อเรียบ นุ่มนวล มีความชุ่มชื้น และความมันพอเหมาะ ไม่มีเหงื่อแตกร่วน หรือแข็งเป็นก้อน คงสภาพทั้งเมื่อเก็บไว้และขณะใช้ ทนต่อสภาวะต่างๆ ได้ดี
2. หลอมละลายได้ทันทีเมื่อสัมผัสกับริมฝีปาก
3. ไม่มีอันตรายต่อผิวหนังให้สีติดทน แต่สามารถล้างออกได้ง่ายเมื่อต้องการ กลิ่นดี
ลิปสติกให้ความแวววาวบนริมฝีปาก (Shine-on Lipstick)
พบว่ามีการใช้สาร PPG-3 benzyl ether mysistate กับส่วนผสมสารอื่นๆ ที่มีคุณสมบัติให้ความชุ่มชื้น (emollients) เป็น silicone ซึ่งเป็นโครงสร้างเหมือน ester และมีคุณสมบัติให้ความมันเป็นประกายแวววาวมีการใช้ร่วมกับ Castor oil, Di-PPG-3 myristyl ether adipate และ wax หลายๆ ชนิด สีที่นิยมใช้ได้แก่ D&C Red 7 Ca Lake, D&C Red 6 Ba Lake, Cosmetic Russet Iron Oxide, Titanium Dioxide, FD&C Yellow 5 Lake, Mica, Iron Oxides และ antioxidant ที่ใช้คือ Ascorbyl Palmitate
การระคายเคืองและการแพ้ลิปสติก
การแพ้เครื่องสำอางนั้นส่วนใหญ่เป็นไปเฉพาะแต่ละบุคคล ฉะนั้นบางคนอาจแพ้ แต่บางคนไม่แพ้ สำหรับลิปสติกพบว่ามี 1 ใน 5 ล้านคน ที่มีอาการแพ้ลิปสติกโดยธรรมชาติ อย่างไรก็ตามการใช้ลิปสติกทาบนริมฝีปากซึ่งเป็นเนื้อเยื่ออ่อน วันละหลายครั้ง และสัมผัสริมฝีปากเป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดการแพ้ได้ง่ายกว่าผิวหนังบริเวณอื่น สาเหตุของการแพ้ลิปสติกอาจมาจากสิ่งต่อไปนี้
1. น้ำหอมในลิปสติก อาจมีสารบางชนิดกระตุ้นให้เกิดการแพ้
2. สีในลิปสติกอาจมีสารปนเปื้อน ทำให้แพ้ได้ และสีบางชนิดทำให้ริมฝีปากไวต่อแสงแดด
3. ลิปสติกที่มีไขมันและน้ำมันน้อย อาจทำให้ริมฝีปากแห้งแตกทำให้แพ้ง่าย
4. สารตัวเติมอื่นๆ บางตัวมีฤทธิ์เป็นตัวเร่งการแพ้
พอสรุปได้ว่าการแพ้ลิปสติกนั้น ส่วนใหญ่เกิดจากสารปนเปื้อนในน้ำหอมและสี แต่แนวโน้มการแพ้ลิปสติกได้ลดลงมาเป็นลำดับ ทั้งนี้เนื่องจากผู้ผลิตใช้วัตถุดิบที่บริสุทธิ์ขึ้น มีสารปนเปื้อนน้อยในการผลิตลิปสติก นอกจากนี้การทาลิปสติกโดยใช้นิ้วมือ อาจทำให้เกิดติดเชื้อที่ริมฝีปากได้
อาการแพ้เนื่องจากลิปสติก
ผู้ใช้ลิปสติก ที่มีอาการแพ้ลิปสติก จะมีอาการแตกต่างกันแล้วแต่ว่าผู้นั้นแพ้มากหรือแพ้น้อย หากแพ้น้อยอาจจะมีอาการเพียงริมฝีปากแห้งคัน แต่หากแพ้มากอาจเกิดอาการริมฝีปากอักเสบ บวมหรือหายใจไม่ออก เมื่อมีอาการแพ้ต้องหยุดใช้ลิปสติกแท่งนั้นทันที แล้วเปลี่ยนไปใช้ลิปสติกชนิดอื่นแทน เช่น ใช้ลิปสติกชนิดที่ไม่มีน้ำหอม

ใต้ทะเล 20,000 โยชน์

โลกใต้ทะเลที่ลึกกว่า 800 เมตรนั้น จะมืดสนิทและเงียบมาก เพราะแสงสว่างไม่สามารถส่องลงไปถึงได้ อุณหภูมิของน้ำจะเย็นจัด เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2532 ญี่ปุ่นได้ปล่อยยานดำน้ำ Shinkar 6500 ซึ่งสามารถดำได้ลึกถึง 6,500 เมตร โครงเรือทำด้วยโลหะไททาเนียม มันสามารถดำเก็บสารที่มีอยู่ใต้ท้องมหาสมุทรและศึกษาชีวิตใต้ท้องทะเลลึกได้ที่ท้องทะเลลึกบางแห่งมีภูเขาไฟที่กำลังระเบิด ลาวาร้อนได้ไหลพุ่งออกมาจากปล่องซึ่งอุณหภูมิสูงถึง 350 องศาเซลเซียส ที่น่าประหลาดคือที่นี่ได้พบสัตว์ต่างๆ มากมายบริเวณรอบภูเขาไฟ ซึ่งแตกต่างจากสัตว์ที่อยู่บนบกอย่างสิ้นเชิง เช่น พบหนอนทะเล-ยาว 3 เมตร แมงมุมทะเลขนาดใหญ่ 2 เมตร เป็นต้นในทะเลที่มืดสนิท ตาธรรมดาของสัตว์จะไร้ความหมาย เพราะไม่มีแสงที่ช่วยในการมองเห็น ซึ่งได้มีการพบกุ้งขนาดเล็กที่ดำรงชีวิตอยู่ได้รอบๆบริเวณปล่องภูเขาไฟ โดยไม่เป็นอันตรายใดๆ มีชื่อว่ากุ้ง Rimicarus exoculate มีตาที่ไม่เหมือนตากุ้งธรรมดาคือตากุ้งทะเลลึกไม่มีเลนส์ มีแต่เรตินา ซึ่งเป็นจอรับภาพตารับรังสีความร้อนจากลาวาทำให้กุ้งมองเห็นภูเขาไฟใต้ทะเลได้ ในขณะที่ตามนุษย์จะมองภูเขาไฟไม่เห็นเลย ซึ่งกุ้งเหล่านี้จะกินบัคเตรีในน้ำ กินสารเคมีต่างๆ

วันเสาร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ขนมของ"คนรักกัน"

คุณทิ หรือพ่อกะทิ ชายหนุ่มโผงผางผู้กำพร้าพ่อแม่อยู่ตัวคนเดียวพูดจริงทำจริง ขยันขันแข็งเอางานเอาการเสร็จจากงานนาก็มารับจ้างขี่ควายส่งคนเข้าซอยทุกคนในหมู่บ้านล้วนรักและเอ็นดูคุณทิ ยกเว้นผู้ใหญ่ปลั่งเพราะผู้ใหญ่ปลั่งมีลูกสาวสวยที่ดันมาหลงรักคุณทิด้วยเช่นกันแม่แป้งลูกสาวคนเดียวของผู้ใหญ่ปลั่งสาวสวยประจำหมู่บ้านนางเจอกับคุณทิในวันลอยกระทง ทั้งคู่ขี่ควายสัญญากันต่อหน้าพระจันทร์ไม่ว่าข้างหน้าจะมีอุปสรรคขวางกั้นเพียงใดทั้งคู่ก็จะขอเอาความรักแท้ที่จริงใจฝ่าฟันข้ามไปแล้วคุณทิก็รวบรวมเงินทองเท่าที่เก็บสะสมมาได้ไปบ้านผู้ใหญ่ปลั่งเพื่อสู่ขอแม่แป้งซึ่งผู้ใหญ่ก็ต้อนรับมันอย่างดี ด้วยชายฉกรรจ์ 6นายพร้อมอาวุธครบมือ คุณทิไม่ว่ากระไรได้แต่พาร่างอันสะบักสะบอมกลับไปบ้านนอนหยอดน้ำข้าวต้มหลายวันด้วยใจยังตั้งมั่นว่า วันหน้าจะมาขอใหม่ขอไปจนกว่าผู้ใหญ่จะใจอ่อน ในที่สุดผู้ใหญ่ปลั่งก็ปิดหนทางความรักของคุณทิด้วยการคลุมถุงจัดงานแต่งงาน ให้ลูกสาวกับปลัดหนุ่มจากบางกอกคุณทิรู้ข่าวจึงรีบวิ่งทุรนทุรายหมายจะมาทำลายพิธีซึ่งผู้ใหญ่ปลั่งก็รู้ดีว่าคุณทิต้องกระทำแบบนี้จึงขุดหลุมพรางดักรอเอาไว้ แม่แป้งแอบได้ยินแผนร้ายก็แอบหนีหมายจะมาห้ามคนรักไม่ให้หลงกล เหตุการณ์ต่อไปนี้ไม่มีบันทึกเป็นลายลักษณ์ได้แต่ปะติดปะต่อมาจากคำบอกเล่าของชาวบ้านแบบปากต่อปากว่าคืนนั้นเป็นคืนเดือนแรมแม่แป้งแอบวิ่งฝ่าความมืดออกมาดักหน้าคุณทิคุณทิเห็นแม่แป้งวิ่งมาก็ดีใจ รีบวิ่งไปหาแม่แป้งเห็นคุณทิรีบวิ่งมาก็รีบวิ่งเข้าไปหาให้เร็วยิ่งขึ้นไปอีก ฉับพลัน...ร่างแม่แป้งก็ร่วงหล่นลงไปในหลุมพรางของผู้ใหญ่ปลั่งต่อหน้าต่อตาคุณทิทันทีอารามตกใจ คุณทิรีบกระโดดตามลงไปเพื่อช่วยเหลืออารามดีใจ สมุนชายฉกรรจ์ 6นายของผู้ใหญ่ปลั่งรีบเข้ามาโกยดินฝังกลบเพราะคิดว่าก้นหลุมมีเพียงคุณทิผู้เดียวที่อยู่ในนั้น รุ่งเช้าผู้ใหญ่ปลั่งเดินยิ้มมาขุดหลุมเพื่อดูผลภาพเบื้องล่างพบคุณทิตระกองกอดทับร่างแม่แป้งลูกสาวของตน นอนตายคู่กันอย่างมีความสุข เมื่อยิ้มถูกเปลี่ยนไปเป็นน้ำตาผู้ใหญ่ปลั่งสั่งลูกสมุนสร้างเจดีย์คลุมครอบปิดหลุมนั้นไว้เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจคนทั่วไปว่าอย่าคิดทำร้ายหรือทำลายความรักของใครอีกเลยสถานที่ตั้งเจดีย์นั้นไม่มีใครรู้แน่นอน จะมีก็แต่เพียงอนุสรณ์แห่งความรักที่กระทำสืบทอดกันมาจนเป็นประเพณี ทุกแรมหกค่ำเดือนหกชาวบ้านที่ศัรทธาในความรักของคุณทิกับแม่แป้งจะตื่นตั้งแต่มืดเข้าครัวเพื่อทำขนมที่หอมหวานปรุงจากแป้งและกะทิบรรจงแคะจากพิมพ์แล้วนำมาวางคว่ำหน้าซ้อนกันเป็นสัญลักษณ์ว่าจะได้อยู่ร่วมกันตลอดไปขนมนี้เรียกขานกันในนาม ขนมแห่งความรัก