วันพุธที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2553

รัสเซีย

พระราชวังเครมลิน และโบสถ์เซนต์บาซิล

ประเทศรัสเซีย


ข้อมูลทั่วไป ที่ตั้ง อยู่ทางตอนเหนือของทวีปเอเชีย และมีพื้นที่ 2 ใน 3 อยู่ในทวีปเอเชีย โดยมีเทือกเขาอูราล เป็นพรมแดนธรรมชาติระหว่างทั้งสองทวีป พื้นที่ 17,075,400 ตารางกิโลเมตร ซึ่งถือว่าใหญ่ที่สุดในโลก ( ใหญ่กว่าประเทศไทย ราว 33 เท่า ) โดยมีระยะทางจากด้านตะวันออกจรดตะวันตก 9,000 กิโลเมตร และจากด้านเหนือจรดใต้มีระยะทาง 4,000 กิโลเมตร เมืองหลวง กรุงมอสโก ( ประชากร 10,102,000 คน ) เมืองสำคัญอื่น ๆ เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก วลาดิวอสต็อก โนโวสิเบียรสก์ นิชนีย์ โนฟโกรอด เยคาทารินเบิร์ก ประชากร 145.3 ล้านคน เป็นชาวรัสเซีย ร้อยละ 81 ที่เหลือเป็นเชื้อชาติอื่นๆ อาทิ ตาตาร์ ยูเครน เบลารุส เยอรมัน ยิว อาร์เมเนีย และคาซัค วันชาติ 12 มิถุนายน ศาสนา ส่วนใหญ่นับถือคริสตศาสนานิกายออร์โธดอกซ์รัสเซีย ( ร้อยละ 70) ที่เหลือนับถือศาสนาอิสลาม ( ร้อยละ 5.5) คริสตศาสนานิกายคาธอลิก ( ร้อยละ 1.8) และพุทธศาสนานิกายมหายาน ( ร้อยละ 0.6) เขตการปกครอง มีหน่วยปกครองทั้งสิ้น 89 แห่ง โดยแบ่งออกเป็นสาธารณรัฐ (Republic) 21 แห่ง ดินแดนปกครองตนเอง (Krays) 6 แห่ง มณฑล 49 แห่ง สาธารณรัฐปกครอง ตนเอง ( Autonomous Republic ) 11 แห่ง และ Federal City 2 แห่ง ( กรุงมอสโก และนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก )




ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับรัสเซีย สถาปนาความสัมพันธ์
ไทยและรัสเซียถือเอาการเสด็จฯ ประพาสรัสเซียของพระบาทสมเด็จ พระ จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (3-11 กรกฎาคม 2440) เป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ทางการทูต กลไกความสัมพันธ์ทวิภาคี คณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี (JC) ก่อตั้งเมื่อ เดือนกันยายน 2536 มีการประชุมครั้งที่ 3 ระหว่างวันที่ 2-3 เมษายน 2545 ณ กรุงมอสโก ไทยจะเป็นเจ้าภาพการประชุมครั้งที่ 4 ในปี 2548 การค้ากับไทย
รัสเซียเป็นตลาดส่งออกอันดับที่ 1 ของไทย ในภูมิภาคยุโรปตะวันออก ในปี 2546 มีมูลค่าการค้ารวม 845.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยไทยส่งออก 272.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และนำ เข้า 572.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2547 มูลค่าการค้ารวมระหว่างไทยกับ รัส เซีย คิดเป็น 342 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยไทยส่งออก 78.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่นำเข้า 263.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้านำเข้าจากไทย น้ำตาลทราย , เครื่องรับวิทยุโทรทัศน์และส่วนประกอบ , ผลไม้กระป๋องและแปรรูป , เม็ดพลาสติก , ข้าว , ยางพารา , รถยนต์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ , อัญมณีและเครื่องประดับ , อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป สินค้าส่งออกมาไทย เหล็กและเหล็กกล้า , ปุ๋ย , สินแร่โลหะอื่น ๆ และเศษโลหะ , เครื่องเพชรพลอย อัญมณี เงินแท่งและทองคำ , แร่ดิบ , เยื่อกระดาษและเศษกระดาษ , กระดาษ กระดาษแข็ง และผลิตภัณฑ์ , ยาง ยางสังเคราะห์ รวมทั้งเศษยาง , หนังดิบและหนังฟอก จำนวนนักท่องเที่ยว 70,482 คน (9 เดือนแรก) เพิ่มขึ้นร้อยละ 15-20 ทุกปี โดยในปี 2546 มี 90,722 คน ( ปี 2546) เอกอัครราชทูตไทยประจำรัสเซีย นายสรยุตม์ พรหมพจน์ ( ตั้งแต่ปี 2546) นอกจากนี้ ไทยยังได้จัดตั้งสถานกงสุลกิตติมศักดิ์ขึ้นที่ นครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก และเมืองวลาดิวอสต็อก เอกอัครราชทูตรัสเซียประจำไทย นาย Yevgeney Afanasiev (ตั้งแต่ปี 2548) นอกจากนี้ รัสเซียยังได้แต่งตั้งนางพงา วรรธนกุล ดำรงตำแหน่งกงสุลกิตติมศักดิ์ประจำเมืองพัทยา





จตุรัสแดง เป็นลานจตุรัสด้านข้างพระราชวังเครมลินที่มาของชื่อจตุรัสแดง ก็สืบเนื่องมาจากสีแดงของกำแพงพระราชวังนั่นเอง



วันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2553

ดอกดาหลา




ชื่อวิทยาศาสตร์: Etlingera elatior [Jack] R. M. Smith.


ชื่อวงศ์: ZINGIBERACEAE


ชื่อสามัญ: Torch Ginger


ชื่อท้องถิ่น: กากลา กะลา



ลักษณะวิสัย: ไม้ล้มลุก


ลักษณะทั่วไป : ไม้ล้มลุกอายุหลายปี มีเหง้าใต้ดิน ใบเดี่ยวขนาดใหญ่ รูปขอบขนาน ปลายแหลมก้านใบยาว ดอกออกเป็นช่อแทงก้านดอกจากเหง้าใต้ดิน กลีบประดับช้อนกันหลายชั้น ลดขนาดเล็กลงในวงชั้นใน สีชมพูถึงแดงเข้ม ออกดอกตลอดปี


ต้น : เป็นพืชที่มีลักษณะคล้ายข่า มีลำต้นใต้ดินเรียกว่าเหง้า เหง้านี้จะเป็นบริเวณที่เกิดของหน่อดอกและหน่อต้น ตาหลา 1 ต้น สามารถให้หน่อใหม่ได้ประมาณ 7 หน่อ ในเวลา 1 ปี ส่วนลำต้นเหนือดินเป็นกาบใบที่โอบช้อนกันแน่น เช่นเดียวกับพวกกล้วย ส่วนนี้คือลำต้นเทียม ลำต้นเหนือดินสูง 2-3 เมตร มีสีเขียวเข้ม


ใบ : มีรูปร่างยาวรี กลางใบกว้างและค่อย ๆ เรียวไปหาปลายใบ และฐานใบไม่มีก้าน ใบผิวเกลี้ยงทั้งด้านบนและด้านล่าง ใบยาว 30 - 80 เซนติเมตร กว้าง 10 - 15 เซนติเมตร ปลายใบแหลม ฐานใบเรียว ลาดเข้าหาก้านใบ เส้นกลางใบปรากฏชัดทางด้านล่างของใบ
ดอก : ดอกดาหลาเป็นดอกช่อมีลักษณะดอกแบบ head ประกอบด้วยกลีบประดับ มี 2 ขนาด ส่วนโคนประกอบด้วยกลีบประดับขนาดใหญ่มีความกว้าง 2-3 เซนติเมตร จะมีสีแดงขลิบขาวเรียวซ้อนกันอยู่ และจะบานออก ประมาณ 25 -30 กลีบ กลีบประดับเล็กนี้จะหุบเล็กเรียงเป็นระดับมีประมาณ 300 - 330 กลีบ


ประโยชน์ : เป็นไม้ดอกไม้ประดับ รับประทานได้ มีรสเผ็ดร้อน ช่วยขับลม แก้ลมพิษ แก้โรคผิวหนัง


การกระจายพันธุ์: เอเชียตะวันออกเฉียงใต้หมู่เกาะแปซิฟิก ขยายพันธุ์โดยการแตกหน่อ

วันเสาร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2553

วันวาเลนไทน์



.. วันวาเลนไทน์ ..
วันวาเลนไทน์ นั้นมีมาตั้งแต่สมัยจักรวรรดิโรมัน ในกรุงโรมสมัยก่อนนั้น วันที่ 14 กุมภาพันธ์ จะเป็นวันเฉลิมฉลองของจูโน่ ซึ่งเป็นราชินีแห่งเหล่าเทพและเทพธิดาของโรมัน ชาวโรมันรู้จักเธอในนามของเทพธิดาแห่ง อิสตรีและการแต่งงาน และในวันถัดมาคือวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ก็จะเป็นวันเริ่มต้นงานเลี้ยงของ Lupercalia การดำเนินชีวิตของเด็กหนุ่มและเด็กสาวในสมัยนั้นจะถูกแยกจากกันอย่างเด็ดขาด แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีประเพณี อย่างนึง ซึ่งเด็กหนุ่มสาวยัง สืบทอดต่อกันมา คือ คืนก่อนวันเฉลิมฉลอง Lupercalia นั้นชื่อของเด็กสาวทุกคนจะถูกเขียนลงในเศษกระดาษเล็ก ๆ และจะใส่เอาไว้ในเหยือก เด็กหนุ่มแต่ละคนจะดึงชื่อของเด็กสาวออกจากเหยือก แล้วหลังจากนั้นก็จะจับคู่กันในงานเฉลิมฉลอง บางครั้งการจับคู่นี้ ท้ายที่สุดก็จะจบลงด้วยการ ที่เด็กหนุ่มและเด็กสาวทั้งสองนั้นได้ตกหลุมรักกันและแต่งงานกันในที่สุดภายใต้การปกครองของจักรพรรดิคลอดิอุสที่สอง (Claudius II) นั้น กรุงโรมได้เกิดสงครามหลายครั้ง และคลอดิอุสเองก็ประสบกับปัญหาในการที่จะหาทหารจำนวนมากมายมหาศาลมาเข้าร่วมในศึกสงคราม และเขาเชื่อว่าเหตุผลสำคัญก็คือ ผู้ชายโรมันหลายคนไม่ต้องการจากครอบครัวและคนอันเป็นที่รักไป และด้วยเหตุผลนี้เอง ทำให้จักรพรรดิคลอดิอุสประกาศให้ยกเลิกงานแต่งงานและงานหมั้นทั้งหมดในกรุงโรม ถึงกระนั้นก็ตาม ยังมีนักบุญผู้ใจดีคนหนึ่งซึ่งชื่อว่า ท่านนักบุญ " วาเลนไทน์ " ท่านเป็นพระที่กรุงโรมในสมัยของจักรพรรดิคลอดิอุสที่สองท่าน นักบุญ วาเลนไทน์ และนักบุญ มาริอุส ได้จัดตั้งกลุ่มองค์กรเล็กๆ เพื่อช่วยเหลือชาวคริสเตียนที่ตกทุกข์ได้ยากเหล่านี้ และได้จัดให้มีการแต่งงานของคู่รักอย่างลับๆด้วย และจากการกระทำเหล่านี้เอง ทำให้ นักบุญ วาเลนไทน์ ถูกจับและถูกตัดสินประหารโดยการตัดศรีษะ ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ประมาณปีคริสต์ศักราชที่ 270 ซึ่งถือเป็นวันที่ท่านได้ทนทุกข์ทรมานและเสียสละเพื่อเพื่อนมนุษย์

.. ทำไมจึงชื่อ " วันวาเลนไทน์ " ..
วันที่ 14 กุมภาพันธ์ ของทุกปีเป็น วันวาเลนไทน์ ซึ่งพวกหนุ่มสาวมักจะรีบไปซื้อบัตรส่งทักทายกันส่งใจถึงกัน นับเป็นความนิยมมากขึ้น ประเพณีนี้เข้ามาสู่ประเทศไทยทีละเล็กละน้อย และดูเหมือนจะเป็นที่นิยมมากขึ้นทุกปี เป็นประเพณีที่หนุ่มสาวนิยมกันมากเป็นพิเศษที่สหรัฐอเมริกาและที่ประเทศอังกฤษทำไมจึงมีชื่อว่า “ วันวาเลนไทน์ ” และความหมายที่แท้จริงของวันนี้คืออะไร? และมาจากไหน?นักบุญ วาเลนไทน์ (Valentine) เป็นสงฆ์คาทอลิกองค์หนึ่งที่ได้ถูกประหารชีวิตในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ คริสตศักราช 270 ในสมัยพระเจ้าจักรพรรดิโรมัน เกลาดิอุส ที่ 2 ( Clanoius) โดยแท้จริงแล้วท่านนักบุญไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับประเพณีการเลือกคู่ หรือหาคู่ หรือหาแฟน หรือความรัก ความสนใจระหว่างหนุ่มสาว ท่านก็ไม่ได้ไปเกี่ยวข้องด้วยเลย ถ้าเช่นนั้นแล้ว ทำไมจึงเลือกนักบุญองค์นี้มาเป็นองค์อุปถัมภ์สำหรับผู้ที่กำลังหาคู่ เลือกคู่หรือเลือกแฟนกันได้เล่า ? เหตุผลที่ค้นพบได้ก็คือ ที่มาของวันวาเลนไทน์ ไม่ขึ้นอยู่กับคนผู้นี้ แต่ขึ้นอยู่กับวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ประเพณีเลือกคู่ หรือหาคู่นี้มีมาแต่โบร่ำโบราณในทุกชาติ ดูเหมือนกับว่าได้เกิดขึ้นพร้อมกับวิวัฒนาการของมนุษย์ก็ว่าได้ ประเพณี วาเลนไทน์ นี้ก็มีต้นเหตุหรือ ที่มาสมัยที่จักรวรรดิโรมันแผ่อิทธิพลไปทั่ว ชาวโรมันสมัย โบราณมีการฉลองเทพเจ้าองค์หนึ่งชื่อ ลูแปร์คูส (Lupercus) ซึ่งตรงกับวันที่ 15 กุมภาพันธ์ และถือว่าเป็นการฉลองใหญ่ ส่วนหนึ่งของการฉลองใหญ่นี้ก็จะเป็นการจัดงานหาคู่ของพวกหนุ่มสาว ซึ่งจัดขึ้นในวันก่อนวันฉลองใหญ่ 1 วัน คือวันที่ 14 กุมภาพันธ์ นี้จะถือโอกาสให้พวกหนุ่มสาวเสนอตัวเป็นคนรักกันชั่วระยะเวลา 1 ปี ช่วงนี้จะเรียกว่าเป็นช่วงทดลองมิตรภาพเพื่อดูว่าทั้งคู่จะมีนิสัยใจคอเข้ากันได้หรือไม่ ชาวโรมันเป็นคนศรัทธาในเทพเจ้า และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ก็มีความเชื่อกันว่าพวกตนมีเทพเจ้าองค์หนึ่งซึ่งเขาขอให้เป็นผู้ดูแลความรักของเขาในระหว่างช่วงระยะเวลาการทดลองเป็นคู่รักกัน 1 ปี นั้น เทพเจ้าองค์นี้เป็นหญิงชื่อเทพธิดา Juno Februata ซึ่งตาม เทพนิยายของชาวโรมันเป็นมเหสีของ Jupiter องค์มหาเทพเจ้าทั้งหลายครั้นต่อมา เมื่อชาวโรมันส่วนใหญ่กลับใจมาถือศาสนาคริสต์ (ตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 4 ) ประเพณีของหนุ่มสาวที่จะหาคู่เพื่อทดลองเป็นคนรักกัน เพื่อจะแต่งงานกันในเวลาต่อไปนั้นก็ยังนิยมทำกันอยู่ แม้ว่าจะเป็นคริสตชนแล้วก็ตาม ฉะนั้นเขาก็ยังรักษาประเพณีการเลือกคู่ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์นั้นอยู่ตลอดมา เพียงแต่ว่าหนุ่มสาว โรมันชาวคริสต์ได้หันมาเปลี่ยนตัวผู้อุปถัมภ์องค์ใหม่ เพราะคริสตชนไม่นับถือเทพเจ้าหรือเทพธิดาอย่างกาลก่อน เขาจึงหันมาเลือกหานักบุญในคริสตศาสนาที่มี วันฉลองในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ซึ่งก็มี นักบุญวาเลนไทน์องค์นี้เอง จึงขอยืมชื่อท่านมาเป็นองค์อุปถัมภ์แทนเทพเจ้าเดิมของชาวโรมัน เรื่องราวความเป็นมามีดังนี้ ฉะนั้นถ้าท่านนักบุญมีชีวิตอยู่ท่านอาจรู้สึกงงงวยในตำแหน่งที่หนุ่มสาวได้เลือกตั้งและแต่งตั้งให้ท่านเป็นผู้อุปถัมภ์ โดยที่ท่านไม่ได้รู้เรื่องทางโลกของหนุ่มสาวด้วยเลยแม้แต่น้อยความรักระหว่างหนุ่มสาวนั้นอาจจะเผชิญกับอันตรายบางอย่าง และอาจจะเป็นโอกาสให้พลังและความรักนั้นทำลายความสัมพันธ์อันสูงส่งระหว่างหนุ่มสาวนั้นเอง ความหมายของการมี วันวาเลนไทน์ นี้ก็คือการช่วยหนุ่มสาวหาวิธีการเพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันด้วยใจบริสุทธิ์ความหมายเห็นได้ชัดในคำว่า “You are my Valentine” ที่มักจะเขียนลงในบัตรส่งใจถึงกันและกัน ประโยคตามความหมายเดิม หมายถึงว่า “ข้าพเจ้าขอเสนอตัวเป็นเพื่อนสนิทของท่านในช่วงเวลา 1 ปี และข้าพเจ้าพร้อมที่จะตกลงแต่งงานกับท่าน ถ้ามิตรภาพของเรานี้เป็นสิ่งที่ยืนยง”
ลักษณะความสัมพันธ์ระหว่างหนุ่มสาวที่จะช่วยให้ก้าวหน้าในความรักที่แท้จริงนั้น ก็ควรจะประกอบด้วย 3 ข้อด้วยกัน ดังนี้
1. ให้รู้จักกันทั้งในด้านดี ในด้านเสีย และข้อผิดพลาดซึ่งต่างก็มีอยู่ และยอมรับซึ่งกันและกันในข้อเหล่านั้น 2. ให้เคารพและเห็นใจกัน โดยเสียสละต่อกันเพื่อให้คนรักของตนได้รับความดี และความสุขใจในทางที่บริสุทธิ์งดงาม3. ให้มีการปรับปรุง และเปลี่ยนนิสัยของตนในส่วนที่บกพร่อง เพื่อจะอยู่กันด้วยความสุขในอนาคต
ลักษณะทั้งสามดังกล่าวนี้ คงจะเป็นประโยชน์สำหรับหนุ่มสาวไทยไม่เฉพาะ ในวันวาเลนไทน์หรือสำหรับกลุ่มที่นิยมประเพณีต่างประเทศเท่านั้น แต่สำหรับทุกคู่ที่แสวงหาวิธีการเพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกันอัน จะนำไปสู่ความรักที่มั่นคงและยั่งยืนชั่วชีวิต


.. คิวปิด ..
คนทั่วไปรู้จัก คิวปิด ในภาพของเด็กน่ารักที่มีปีก มือถือคันธนูกับลูกศรและมีชื่อเสียงในเรื่องการยิงศรรักปักหัวใจของใครต่อใคร ศรรักของ คิวปิด หมายถึงความปรารถนาและอารมณ์แห่งความรัก คิวปิด จะเล็งลูกศรไปที่พระเจ้าและมนุษย์เพื่อทำให้พระเจ้ากับมนุษย์รักกันคิวปิดมักจะมีบทบาทในการเฉลิมฉลองความรัก ในกรีกโบราณ คิวปิด เป็นที่รู้จักกันในชื่อว่า เอโรส ลูกชาย แอฟโพไดท์ เทพธิดาแห่งความรักและความสวยงามแต่สำหรับพวกโรมัน เขาคือ คิวปิด และแม่ของเขาคือ วีนัส มีเรื่องน่าสนใจพอสมควรเกี่ยวกับ คิวปิด และ ไซคี เจ้าสาวของเขาในเทพนิยายโรมัน ขอแนะนำผู้อ่านให้รู้จักคู่รักของ คิวปิด สักนิดนะครับว่าเธอเป็นเทพธิดารูปงามในนิยายกรีกโบราณมีปีกเป็นผีเสื้อ และเพราะความงามนี้เองที่ทำให้ วีนัส อิจฉา นางจึงได้สั่ง คิวปิด ให้ลงโทษว่าที่ลูกสะใภ้เสีย แต่ คิวปิด ตกหลุมรักเธอเกินกว่าที่จะทำตามความต้องการของแม่ ดังนั้น แทนที่จะลงโทษเธอ คิวปิด กลับเอาเธอเป็นภรรยาเสียเลย แต่เนื่องจาก ไซคี มิได้เป็นอมตะ เธอจึงถูกห้ามมิให้มองเขา (ตรงนี้ผมไม่ทร าบเหมือนกันนะครับว่าเป็นไปได้อย่างไรที่ได้เธอเป็นภรรยาแล้วภรรยามองไม่ได้ แต่อย่าไปคิดอะไรมากนะครับ เพราะเทพนิยายฝรั่งก็ไม่แตกต่างอะไรไปจากละครน้ำเน่าบ้านเรา) หลังจากตกเป็นภรรยาของ คิวปิด แล้ว ไซคี ก็มีความสุขเรื่อยมา จนกระทั่งพี่สาวของเธอได้รบเร้าให้เธอมอง คิวปิด ทันทีที่เธอมอง คิวปิด คิวปิด ก็ลงโทษเธอด้วยการทิ้งเธอไปทันที พร้อมกันนั้นปราสาทและสวนอันสวยงามของเธอก็ต้องมลายหายไปด้วย หลังจากนั้นไซคี ก็พบว่าตัวเองอยู่ตามลำพังในทุ่งโล่งแห่งหนึ่งซึ่งไม่มีร่องรอยของสิ่งมีชีวิตอื่นๆหรือ คิวปิด ปรากฏให้เห็นเลย ในขณะที่เธอออกเดินทางค้นหาคนรักของเธอนั้น เธอก็มาถึงวิหารของ วีนัส โดยบังเอิญ เมื่อ วีนัส เทพธิดาแห่งความรักพบว่า ไซคี ยังมีชีวิตอยู่ เธอก็ปราถนาที่จะ ทำลาย ไซคี ด้วยการให้งานที่หนักและอันตรายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ งานสุดท้ายที่ ไซคี ได้รับมิใช่งานขับเครื่องบินชนตึกเวิร์ลเทรด หากแต่เธอได้รับกล่องใบหนึ่งมาและได้ถูกสั่งให้ลงไปยังใต้โลกเพื่อเอา ความงามของ โพรเซอร์พีน ภรรยาของ พลูโต ใส่กล่องใบนี้มา ในระหว่างที่เธอเดินทางอยู่นั้น เธอก็ได้รับคำแนะนำให้รู้จักการหลีกเลี่ยงอันตรายจากอาณาจักรแห่งความตาย นอกจากนั้นแล้ว เธอยังได้ถูกเตือนมิให้เปิดกล่องใบนั้นอีกด้วย แต่เพราะทนไม่ไหวหรือเพราะความอยากรู้อยากเห็นหรืออะไรก็ไม่ทราบ เธอได้เปิดกล่องใบนั้น แต่แทนที่จะพบกับความงาม เธอกลับต้องหลับเป็นตาย ต่อมา คิวปิด ได้มาพบร่างอันไร้ชีวิตของเธอบนพื้นดิน เขาจึงได้นำเอาอาการหลับเป็นตายออกจากร่างของเธอและนำมันไปเก็บไว้ในกล่อง หลังจากนั้น คิวปิด ก็ได้ให้อภัยเธอเช่นเดียวกับ วีนัส เมื่อเทพเจ้าทั้งหลายเห็นความรักที่เธอมีต่อ คิวปิด จึงได้ตั้งให้เธอเป็นเทพธิดาองค์หนึ่งปัจจุบันนี้รูป คิวปิด แผลงศรเป็นสัญลักษณ์แห่งความรักที่ผู้คนมักนิยมใช้กัน และเมื่อศรรักของ คิวปิด พุ่งโดนหัวใจหนุ่มสาวคนใดในวันวาเลนไทน์ หนุ่มสาวคนนั้นก็จะออกอาการ "สติวปิ้ด" จากศรรักของ คิวปิด ขึ้นมาทันที อาการนี้จะเห็นได้จากการส่งดอกกุหลาบสีแดง ส่งช็อคโกแล็ต การส่งบัตรอวยพรและอื่นๆ อีกครับ หมายเหตุท้ายบท : "สติวปิ้ด" เป็นภาษาอังกฤษแปลว่า "โง่" เหมือนคำบางคำที่เราอาจเคยได้ยินว่า "ความรักบางครั้งก็ทำให้คนตาบอด และ มองไม่เห็นข้อบกพร่องของคนที่เรารัก".

วันศุกร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2553

ค้นพบรูทเบียร์ (Root beer) ชาร์ลส์ เอลเมอร์ ไฮร์ส

รูทเบียร์ เป็นเครื่องดื่มประเภทซอฟท์ดริงก์ หรือ เครื่องดื่มที่ปราศจากแอลกอฮอล์ และเป็นผลงานการทดลองวิทยาศาสตร์ของ "ชาร์ลส์ เอลเมอร์ ไฮร์ส" (Charles Elmer Hires) เภสัชกรชาวเมืองฟิลาเดลเฟีย รัฐเพนซิลเวเนีย ซึ่งเกิดเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2394 เขาทำงานและศึกษาด้านเภสัชกรรมมาตั้งแต่อายุ12 ปีเดิมทีผลงานการทดลองวิทยาศาสตร์นี้ เขาต้องการทดลองเพื่อให้ได้ยาที่เขาต้องการ ด้วยการหมักผลเบอร์รีกับสมุนไพรต่างๆ แต่ผลกลับปรากฏว่าได้น้ำรูทเบียร์แทน โดยเขานำมาจำหน่ายครั้งแรกเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2412 และเป็นที่รู้จักแพร่หลายในเวลาต่อมา
ช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 รูทเบียร์ได้รับความนิยมอันดับเป็นอันดับหนึ่ง แม้ในงานสังสรรค์รื่นเริงของเกษตรกร ชาวไร ชาวนา ในสหรัฐอเมริกา ที่นิยมนำเครื่องดื่มมาร่วมกันนั้น รูทเบียร์ก็ถือเป็นเครื่องดื่มที่ขาดไม่ได้เลยที