วันเสาร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ขนมของ"คนรักกัน"

คุณทิ หรือพ่อกะทิ ชายหนุ่มโผงผางผู้กำพร้าพ่อแม่อยู่ตัวคนเดียวพูดจริงทำจริง ขยันขันแข็งเอางานเอาการเสร็จจากงานนาก็มารับจ้างขี่ควายส่งคนเข้าซอยทุกคนในหมู่บ้านล้วนรักและเอ็นดูคุณทิ ยกเว้นผู้ใหญ่ปลั่งเพราะผู้ใหญ่ปลั่งมีลูกสาวสวยที่ดันมาหลงรักคุณทิด้วยเช่นกันแม่แป้งลูกสาวคนเดียวของผู้ใหญ่ปลั่งสาวสวยประจำหมู่บ้านนางเจอกับคุณทิในวันลอยกระทง ทั้งคู่ขี่ควายสัญญากันต่อหน้าพระจันทร์ไม่ว่าข้างหน้าจะมีอุปสรรคขวางกั้นเพียงใดทั้งคู่ก็จะขอเอาความรักแท้ที่จริงใจฝ่าฟันข้ามไปแล้วคุณทิก็รวบรวมเงินทองเท่าที่เก็บสะสมมาได้ไปบ้านผู้ใหญ่ปลั่งเพื่อสู่ขอแม่แป้งซึ่งผู้ใหญ่ก็ต้อนรับมันอย่างดี ด้วยชายฉกรรจ์ 6นายพร้อมอาวุธครบมือ คุณทิไม่ว่ากระไรได้แต่พาร่างอันสะบักสะบอมกลับไปบ้านนอนหยอดน้ำข้าวต้มหลายวันด้วยใจยังตั้งมั่นว่า วันหน้าจะมาขอใหม่ขอไปจนกว่าผู้ใหญ่จะใจอ่อน ในที่สุดผู้ใหญ่ปลั่งก็ปิดหนทางความรักของคุณทิด้วยการคลุมถุงจัดงานแต่งงาน ให้ลูกสาวกับปลัดหนุ่มจากบางกอกคุณทิรู้ข่าวจึงรีบวิ่งทุรนทุรายหมายจะมาทำลายพิธีซึ่งผู้ใหญ่ปลั่งก็รู้ดีว่าคุณทิต้องกระทำแบบนี้จึงขุดหลุมพรางดักรอเอาไว้ แม่แป้งแอบได้ยินแผนร้ายก็แอบหนีหมายจะมาห้ามคนรักไม่ให้หลงกล เหตุการณ์ต่อไปนี้ไม่มีบันทึกเป็นลายลักษณ์ได้แต่ปะติดปะต่อมาจากคำบอกเล่าของชาวบ้านแบบปากต่อปากว่าคืนนั้นเป็นคืนเดือนแรมแม่แป้งแอบวิ่งฝ่าความมืดออกมาดักหน้าคุณทิคุณทิเห็นแม่แป้งวิ่งมาก็ดีใจ รีบวิ่งไปหาแม่แป้งเห็นคุณทิรีบวิ่งมาก็รีบวิ่งเข้าไปหาให้เร็วยิ่งขึ้นไปอีก ฉับพลัน...ร่างแม่แป้งก็ร่วงหล่นลงไปในหลุมพรางของผู้ใหญ่ปลั่งต่อหน้าต่อตาคุณทิทันทีอารามตกใจ คุณทิรีบกระโดดตามลงไปเพื่อช่วยเหลืออารามดีใจ สมุนชายฉกรรจ์ 6นายของผู้ใหญ่ปลั่งรีบเข้ามาโกยดินฝังกลบเพราะคิดว่าก้นหลุมมีเพียงคุณทิผู้เดียวที่อยู่ในนั้น รุ่งเช้าผู้ใหญ่ปลั่งเดินยิ้มมาขุดหลุมเพื่อดูผลภาพเบื้องล่างพบคุณทิตระกองกอดทับร่างแม่แป้งลูกสาวของตน นอนตายคู่กันอย่างมีความสุข เมื่อยิ้มถูกเปลี่ยนไปเป็นน้ำตาผู้ใหญ่ปลั่งสั่งลูกสมุนสร้างเจดีย์คลุมครอบปิดหลุมนั้นไว้เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจคนทั่วไปว่าอย่าคิดทำร้ายหรือทำลายความรักของใครอีกเลยสถานที่ตั้งเจดีย์นั้นไม่มีใครรู้แน่นอน จะมีก็แต่เพียงอนุสรณ์แห่งความรักที่กระทำสืบทอดกันมาจนเป็นประเพณี ทุกแรมหกค่ำเดือนหกชาวบ้านที่ศัรทธาในความรักของคุณทิกับแม่แป้งจะตื่นตั้งแต่มืดเข้าครัวเพื่อทำขนมที่หอมหวานปรุงจากแป้งและกะทิบรรจงแคะจากพิมพ์แล้วนำมาวางคว่ำหน้าซ้อนกันเป็นสัญลักษณ์ว่าจะได้อยู่ร่วมกันตลอดไปขนมนี้เรียกขานกันในนาม ขนมแห่งความรัก

วันอังคารที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

วิธีกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปให้ปลอดภัย

ถ้าจะมีคนยกมือตอบว่า ไม่เค้ย ไม่เคย ก็สงสัยว่าจะเป็นเด็กเล็กที่ยังทานอาหารเส้นไม่เป็นซะล่ะมากกว่า โดยเฉพาะในยุคที่เศรษฐกิจตกสะเก็ดแบบทุกวันนี้ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป อาจจะกำลังกลายเป็น อาหารประจำวันของใครหลาย ๆ คน เชื่อหรือไม่ คนไทยกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปปีละกว่า 2 พันล้านซอง เฉลี่ยวันละ 8 ล้านซอง (ตุลาคม 2550) ปัญหาไม่ได้จบลงแค่นั้น ที่สำคัญก็คือคนไทยชอบกินเปล่า ๆ แบบว่า ฉีกซองเครื่องปรุง กดน้ำร้อน ปิดฝาสองนาที ซวบ ซวบ จบ นานวันเข้าก็เกิดอาการ ขาดสารอาหาร อ้วน ความดันสูง ไตเสื่อม (อ้วน.. แต่ขาดสารอาหาร??? มันยังไงกัน) บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปส่วนใหญ่ประกอบด้วยแป้งสาลี 60-70% ไขมันในเครื่องปรุง 15-20% ที่เหลือเป็นเกลือ และผงชูรส ถ้าเรารับประทาน บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป มากกว่า 1 ซองหรือ 1 ถ้วยต่อวัน เราก็จะได้โซเดียม (ก็เกลือนั้นแหละ) เกินความต้องการของร่างกายต่อวัน ไปถึง 50-100 % ซึ่งจะทำให้ไตต้องทำงานหนักขึ้น และเสี่ยงต่อการเกิดภาวะความดันโลหิตสูง ประกอบกับส่วนประกอบหลักเป็นแป้ง ถ้าคุณทานแต่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ร่างกายก็จะได้รับแต่แป้ง ๆ ๆ สุดท้ายก็อ้วนนะสิ (ข้อมูลจากสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล)
เอาข้อมูลมาจาระไนให้ฟังกันขนาดนี้ ไม่ใช่ว่าจะมาชวนก่อม๊อบรณรงค์ ให้เลิกกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ประเด็นอยู่ตรงที่ไหน ๆ ก็หนีไม่พ้น ก็หันมาใส่ใจ เลือกซื้อให้คุ้มค่าที่สุด ก่อนซื้ออ่านฉลากสักนิด ว่าเติมสารไอโอดีน ธาตุเหล็ก และวิตามินเอ รึเปล่า แต่ถ้าจะให้ดีควรเติมไข่ หรือเนื้อสัตว์ และผักทุกครั้งที่ทาน
วิธีปรุงก็สำคัญไม่แพ้กัน หลาย ๆ คนยอมที่จะต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกิน ด้วยความที่จะได้เส้นที่เหนียวนุ่มน่ากินกว่า แต่ชอบที่จะใช้น้ำในการต้มน้อย ๆ (รสชาติจะได้เข้มข้น) ใส่เครื่องปรุงลงไปตั้งแต่ตอนต้มด้วย เครื่องปรุงจะได้เข้าเนื้อ (ว่าไปนั่น) แต่หารู้ไม่ว่า การต้มแบบนั้นเป็นวิธีการที่ผิดมหันต์ คุณจะได้รับโซเดียม ไปเต็ม ๆ ซึ่งขอเสียได้บอกไปแล้วตั้นแต่ตอนต้น และผงเครื่องปรุง ที่ใส่ลงไปเมื่อโดนความร้อนสูง จะแปรสภาพเป็นสารพิษ ซึ่งส่งผลเสีย ต่อการทำงานของร่างกายอีกต่างหาก
วิธีการต้มที่ถูกต้องคือ ต้มครั้งแรกด้วยปริมาณน้ำพอสมควร จากนั้นเทน้ำจากการต้มรอบแรกทิ้งไป ใส่น้ำลงไปใหม่ ตั้งไฟให้เดือดอีกครั้ง ใส่ไข่ เนื้อสัตว์และผัก เทใส่ชามจากนั้นจึงค่อย เทเครื่องปรุงใส่ในชาม ซึ่งถ้าจะให้ดี คุณอาจใช้เครื่องปรุงเพียงครึ่งซอง หรือน้อยกว่านั้นก็ได้ อย่างไรก็ตาม คุณไม่ควรรับประทานแต่ บะหมี่สำเร็จรูปอย่างเดียว ติดต่อกันเป็นเวลานาน เพิ่มเงินอีกนิด สลับไปทานอาหารจานเดียวอย่างอื่นบ้าง อาจจะเป็น ข้าวผัด ก๋วยเตี๋ยว ขนมจีน อาหารไทยมีให้เลือกกินตั้งมากมาย เพื่อสุขภาพในระยะยาว

วันอาทิตย์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

เหตุผล 9 ข้อที่คุณไม่ควรใช้อ้างเพื่อการแต่งงาน


1. อย่าแต่งงานเพราะคุณกลัวว่าจะไม่ได้แต่ง ผู้หญิง หลายคน พอชักเริ่มมีอายุสูงขึ้นก็เกิดอาการวิตกจริตว่าถ้าเราไม่รีบ "คว้า" ใครไว้สักคนในขณะนี้ พอเราแก่ตัวลงไปจริงๆ คงไม่มีใครมา "คว้า" เราเป็นแน่ อย่ากระนั้นเลย เจอใครที่พอดูได้ก็รีบด่วนตัดสินใจไปลงเอยกับเขา เพียงเพราะกลัวว่าจะต้องเข้าไปเป็นสมาชิกหมู่บ้านสาวโสดนั่นเอง การตัดสินใจแต่งงานด้วยเหตุผลทำนองนี้ น่าจะเป็นผลเสียมากกว่าผลดี เพราะคุณไม่ได้ไตร่ตรองให้รอบคอบ คล้ายกับลอยคออยู่ในน้ำ อะไรลอยผ่านมา ก็คว้าเอาไว้ก่อน ไม่ทันได้พิจารณาให้รอบคอบ และดูว่าสิ่งที่คุณคว้าไว้นั้นเป็นสิ่งมีพิษมีภัยหรือเป็นที่พึ่งได้จริง บางทีสิ่งที่คิดว่าเป็นทุ่นให้เกาะได้ กลับกลายเป็นเพียงฟางหญ้าหรือปลิงที่คอยดูดเลือดคุณเสียอีก สุดแสนจะชอกช้ำยิ่งเสียกว่าอยู่คนเดียวเป็นไหนๆ นอกจากนี้ถ้าคุณอยู่ในวงสังคมคุณอาจจะถูกแรงกดดันทั้งภายในและภายนอกครอบ ครัวของคุณ ไม่ว่าจะเป็นพี่น้องพ่อแม่เพื่อนฝูงที่คอยผลัดเปลี่ยนมาแสดงความเป็นห่วง เป็นใยคุณด้วยคำถามประเภท "ทำไมจึงยังไม่แต่งงานเสียที ?" "มีอะไรหรือ ?" (หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ "คุณมีปัญหาอะไรหรือจึงยังเป็นโสดอยู่ได้ปูนนี้!") สิ่งต่างๆ ที่ได้ยินได้ฟังเหล่านี้อาจทำให้คุณรู้สึกอึดอัดใจ และในที่สุดคุณก็ตกลงใจที่จะลดมาตรฐาน ของชายในฝันของคุณลงอย่างฮวบฮาบน่าใจหาย หรือต่ำกว่า 50% ก็ยอมขอให้ได้ชื่อว่า "ได้แต่ง" ก็เป็นพอ ถ้าคุณทำเช่นนี้ย่อมเป็นของแน่นอนว่า คุณกำลัง "ลนลาน" หาคู่และย่อมเป็นของแน่อีกเช่นเดียวกันว่าคู่ที่หามาได้จากการไม่พิจารณาให้ รอบคอบนั้น จะมีผลร้ายกับชีวิตของคุณเช่นไร2. อย่าแต่งงานเพราะคุณอยากจะออกจากบ้าน จากครอบครัวเดิมของคุณ
นี่เป็นเหตุผลที่ฤดีมาศตัดสินใจแต่งงานกับสาธิต เพราะเธอเบื่อพ่อแม่ที่ทะเลาะกันทุกวี่ทุกวัน เธอเบื่อสภาพแวดล้อมของบ้านและความไม่ปรองดองของพี่ๆ น้องๆ เธอคิดว่าการออกไปอยู่กับสาธิต จะเป็นคำตอบของเธอ แต่เมื่อเธอไปอยู่บ้านกับสาธิตจริงๆ เธอกลับต้องไปเผชิญกับปัญหาแม่ผัวลูกสะใภ้ที่เธอนึกว่าน่าจะหมดไปตั้งแต่ สมัย "บ้านทรายทอง" นั่นแล้ว นอกจากนี้ก็ยังมีปัญหาพี่ๆ น้องๆ ของเขาที่ไม่ได้ยอมรับเธออย่างสนิทใจ ฤดีมาศรู้สึกว่าตัวเธอเหมือนคนแปลกหน้า ที่หลุดเข้าไปอยู่ในโลกที่เธอไม่รู้จัก เธอเริ่มรู้สึกว่าเธอตัดสินใจผิดที่แต่งงานกับเขา3. อย่าแต่งงานเมื่อคุณกำลังอกหัก หรือเมื่อต้องการประชดแฟนเก่า ]
ผู้หญิงหลายคนอกหักจากแฟนเก่าและด้วยความเจ็บใจ ก็จะรีบแต่งงานกับผู้ชายที่ผ่านเข้ามาในชีวิตอย่างปุบปับ เป็นทีประชดแฟนเก่าว่า "ฉันก็มีเสน่ห์ เมื่อเธอจากฉันไปได้ ฉันก็สามารถหาผู้ชายคนอื่นมาแทนเธอได้เหมือนกัน" ความจริงเรื่องการอกหักนี้เป็นเรื่องที่เกิดกับคนเป็นจำนวนมาก คุณย่อมเจ็บปวดเป็นธรรมดา แต่เมื่อคุณอกหัก คุณยังไม่ควรรีบ "คว้า" ใครก็ได้และแต่งๆ ไป เพราะผู้หญิงอกหักทุกคนจะมีสภาพจิตใจที่ตกต่ำ ความรู้สึกภาคภูมิใจในตนเองจะลดลงไป และช่วงนั้นคุณมักจะขาดวิจารณญาณในการเลือกผู้ชายที่ดีๆ คุณมักจะไปเลือกเอาผู้ชายที่ต่ำกว่าเกณฑ์ปกติมาแต่งด้วย เพราะจิตใจคุณบอบช้ำ คุณต้องการคนมาเยียวยา และเขาเสนอตัวเข้ามาพอดี ซึ่งคุณก็จะตกลงเพราะคุณคิดว่าคนนี้แหละที่จะมาสมานแผลใจให้คุณได้ แต่เมื่อแต่งไปแล้วจิตใจคุณเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ คุณอาจนั่งมองสามีพร้อมกับตั้งคำถามให้กับตัวเองว่า "ฉันเลือกเขามาได้อย่างไร"4. อย่าแต่งงานเพราะคุณสงสารเขา
อลิสาตกลงใจแต่งงานกับพินิจเพราะเขาดูน่าสงสาร เฝ้ารักเฝ้าติดตามเธออยู่เสมอ ท่าทางเขาก็ไม่ได้เรียกร้องอะไรจากเธอเลย ดูเขาเป็นผู้ชายที่แล้วแต่เธอจะกรุณา อลิสารู้ว่า เธอไม่ได้รักเขาเลย แต่ดูเขาก็ไม่มีอะไรเสียหาย น่าจะเป็นผู้นำครอบครัวได้ แต่หลังจากแต่งงานกันได้ระยะหนึ่ง เขากลับแสดงตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของเธออย่างน่าเกลียด แม้กระทั่งเพื่อนฝูงของเธอเขาก็ไม่ต้องการให้เธอไปคบค้าสมาคมด้วย อลิสาแทบเป็นบ้า เพราะเธอเป็นผู้หญิงที่อิสระ เป็นตัวของเธอเอง และคิดไม่ถึงว่า ผู้ชายที่ดูขรึมๆ เรียบๆ จะสามารถแสดง "ฤทธิ์เดช" และวางอำนาจกับชีวิตเธอได้ถึงเพียงนี้5. อย่าแต่งงานเพราะหลงใหลในรูปสมบัติ ของเขาเพียงอย่างเดียว
รูปสมบัติ หรือความหล่อล่ำอาจเป็นสิ่งที่ถูกตาถูกใจในเบื้องต้น แต่ถ้าคุณมัวไปหลงใหลในรูป ที่เห็นเพียงอย่างเดียว คุณจะรู้ได้อย่างไรว่า ภายใต้รูปที่ดูหรูเริดของเขานั้นซ่อนอะไรไว้ภายใน เขาอาจจะเป็นพยัคฆ์ร้ายที่ซ่อนอยู่ภายใต้หนังราชสีห์ก็ได้ คุณควรจะหัดมองคนให้ถึงแก่นแท้ของบุคลิกมากกว่าเพียงแค่รถสปอร์ตราคาเป็น ล้านของเขา และยิ่งกว่านั้น คนสวยๆ หล่อๆ มักจะใช้เวลาตกแต่งแต่รูปภายนอกของเขามากกว่ารูปภายใน และจะมีประโยชน์อะไรที่จะได้แต่เปลือกซึ่งไม่มีแก่นของเขา หรือไม่ก็เป็นแก่นที่เน่าหรือกลวงข้างใน ยิ่งกว่านั้น ภายใต้ความหล่อและกลิ่นอาฟเตอร์เชฟของเขาก็คือ กลิ่นเหงื่อ กลิ่นตัว เจาะลึกลงไปก็เจอแต่น้ำเลือดน้ำเหลืองน้ำหนองเหมือนๆ กัน แล้วคุณจะไปหลงใหลได้ปลื้มอะไรกันนักหนา กับรูปที่ไม่กี่วันก็เหี่ยวเฉาลงไป6. อย่าแต่งงานเพราะทรัพย์สมบัติและเงินในบัญชีของเขา
ผู้หญิง หลายคนแต่งงานกับผู้ชายที่ร่ำรวย เพราะขี้เกียจไปกัดก้อนเกลือกินกับใคร ความจริง เรื่องความรวยนั้นใครๆ ก็ชอบ เป็นคุณสมบัติในทางที่น่าพิสมัยของผู้ชายด้วยซ้ำไป แต่ถ้าผู้ชายที่มีแต่ความรวยให้คุณเพียงอย่างเดียว แต่เขาไม่มีเวลาให้คุณ หรือเขาให้คุณเสวยสุข อยู่บนกองเงินกองทองของเขา แต่เขาไม่ซื่อสัตย์กับคุณ แอบไปมีบ้านเล็กบ้านน้อยให้คุณช้ำใจอยู่เสมอ คุณจะทนได้หรือ ต่อให้เขามีเงินล้นฟ้า คุณก็จะน้ำตาเช็ดหัวเข่า และคิดว่าสู้เขาไม่ร่ำไม่รวย แต่มีเวลาและความรักให้คุณจะดีกว่าเป็นไหนๆ ดังนั้น เมื่อรู้จักผู้ชายที่ร่ำรวยควรศึกษาเขาให้ดี ว่าเขาทำมาหากินอะไร อย่าให้ความรวยมาทำให้คุณตามืดมัวไปกับวัตถุสำเร็จรูปที่เขาสรรหามาให้ มากกว่าความรักและความจริงใจของเขา7. อย่าแต่งงานเพราะอยากหนีตนเอง
คนบางคนแต่งงานเพราะไม่ต้องการเผชิญกับความรู้สึกสับสนว้าวุ่นและขาดเป้าหมาย ของชีวิตตนเอง ใช้การแต่งงานเป็นการแสวงหาความหมายให้ชีวิต อยากให้คู่สมรสมาเติมความ "ขาด" ในชีวิตที่เขาควรจะเติมให้ตนเอง ผู้หญิงบางคนไม่ใคร่ชอบตนเอง ไม่ใคร่เชื่อหรือไว้วางใจว่าจะมีใครที่รักเธอจริง เมื่อมีความสัมพันธ์กับใครก็มักจะต้องการให้ผู้ชายนั้นมาเติมให้ชีวิตของเธอ เต็มขึ้นมา ซึ่งเธอก็มักจะพบกับความผิดหวัง เพราะเธอไม่ได้รักผู้ชายคนนั้น เธอต้องการแต่งงานเพื่อหลีกหนีบางสิ่งบางอย่างของชีวิตที่เธอไม่อยากเผชิญกับมันเท่านั้น8. อย่าแต่งงานเพราะคิดว่าจะเปลี่ยนนิสัยเขาได้
นิสัย คนเรานั้นจะเปลี่ยนได้หรือไม่ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคุณ แต่ขึ้นอยู่ที่ตัวของเขาเอง อย่าคิดว่าคนเราจะเปลี่ยนนิสัยกันได้ง่ายๆ เพราะเรามักจะมีความเคยชินดั้งเดิมที่ได้รับการปลูกฝังมาเป็นสิบๆ ปี การเปลี่ยนความเคยชิน ต้องใช้ความพยายามและความตั้งใจอันเด็ดเดี่ยว อย่าแต่งงานเพราะคิดจะเปลี่ยนนิสัยใคร เพราะถ้าเขาไม่อยากเปลี่ยนตัวของเขาเอง คนที่เสียใจที่สุดก็คือคุณ9. อย่าแต่งงานเพราะความเหงา
คน เราทุกคนล้วนมีความเหงาอยู่ภายในจิตใจ มากบ้างน้อยบ้าง ถ้าคุณเป็นคนขี้เหงา มองหน้าตัวเองในกระจกก็เบื่อ มองไปรอบๆ ห้องก็เจอแต่สิ่งเก่าๆ เฟอร์นิเจอร์เดิมๆ ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นในชีวิต และคุณก็คิดอยากจะได้ใครสักคนมาแก้เหงา คุณก็เลยแต่งงานไปกับคนที่คุณรู้ทั้งรู้ว่าเขาไม่เหมาะกับคุณ แต่คุณคิดว่า "ดีกว่าอยู่เปล่าๆ คนเดียว" เขาคงมาช่วยบำบัดความหงอยเหงาเปล่าเปลี่ยว ในจิตวิญญาณคุณได้ละก็ ขอบอกว่าคุณคิดผิด เพราะเมื่อความเหงาเข้าจู่โจมจิตใจนั้น คนเรามักขาดการกลั่นกรอง เห็นผิดเป็นชอบ คุณอาจจะไปคว้าใครก็ไม่รู้มาบำบัดความเหงาของคุณ และคนคนนั้นอาจจะเป็นอันตรายอย่างยิ่งในชีวิตภายภาคหน้าของคุณก็ได้ ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ มิได้หมายความว่าคุณไม่ควรแต่งงาน หรือถ้าคุณแต่งงานโดยไม่มีข้ออ้างทั้ง 9 ข้อนี้ ชีวิตคู่คุณจะปลอดโป่งโล่งใจตลอดไป การแต่งงานจะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว ขึ้นอยู่กับตัวแปรมากมาย 9 ข้อนี้เป็นเพียงข้อควรระวังว่า ถ้าคุณแต่งงานด้วยเหตุผลเหล่านี้ โอกาสที่คุณจะผิดหวังกับชีวิตคู่นั้นอาจจะมีสูงกว่าคนอื่น การแต่งงาน ที่ประสบความสำเร็จ มักจะเริ่มจากความรัก ความเข้าใจเป็นพื้นฐาน แต่ก่อนที่ความสัมพันธ์ของคุณจะพัฒนาไปสู่การแต่งงานนั้นคุณอาจจะใช้ วิจารณญาณใคร่ครวญสักนิดว่า คุณรักเขาหรือไม่ คุณอยากแต่งงานกับเขาเพราะเหตุใด อย่าเพิ่งให้อารมณ์โรแมนติกเข้ามา เกาะกุมหัวใจของคุณก่อนการใช้สมอง ถ้าคุณเข้าไปสู่ความสัมพันธ์อย่างมีสติ และวิจารณญาณที่ดี คุณอาจจะป้องกันตัวเองจากการผิดหวัง และเจ็บปวดที่ไม่จำเป็นเลยแม้แต่น้อย