วันพฤหัสบดีที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2553

The Khaju Bridge



The Khaju Bridge อยู่ที่ประเทศอิหร่าน เป็นเขื่อนที่สร้างขึ้นเมื่อศตวรรศที่ 17 เป็นสะพานที่ไม่ธรรมดาทำหน้าที่ของมันมายาวนาน ตั้งอยู่ที่เมือง Esfahan ซึ่งเป็น เมืองหลวงเก่าของอิหร่านเ สะพาน Kaju ที่ทำหน้าที่เป็นทั้งสะพานและเขื่อนกั้นน้ำไปพร้อมๆกัน สร้างในสมัย Shah Abbas ที่ 2 แห่งราชวงศ์ Safavid ราวปี 1650 เป็นสะพานที่สวยที่สุดในเมือง Esfahan ใช้เป็นทางสัญจรสำหรับกองคาราวานในอดีต และเป็นที่นั่งชมการละเล่นกีฬาทางน้ำ ดูดอกไม้ไฟของ Shahและข้าราชบริพาร ปัจจุบันเป็นที่เดินเล่นและร้านน้ำชาบนชั้นสอง สะพาน Khaju ก่อสร้างเพื่อใช้ข้ามแม่น้ำ the Zayandeh-Rud และเป็นเขื่อนกักเก็บน้ำต่อจากสะพาน Allahverdi Khan ที่อยู่ต้นน้ำ เป็นอาคารสองชั้น สะพานยาว ๑๓๒ เมตร กว้าง ๑๒ เมตร มีช่องระบายน้ำ ผ่านระหว่างเสาต่อหม้อ ด้านหน้าอาคารและเพดานโค้ง มีทางเดินนอกสะพาน และมีบันไดลงแม่น้ำ(ด้านหลังเขื่อน)

วันพุธที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2553

สวนลอยบาบิโลน(Hanging Gardens of Babylon)


การรังสรรค์งานประติมากรรมและสถาปัตยกรรมต่างๆ ของผู้คนในอดีตนั้นล้วนแต่เป็นสิ่งที่มหัศจรรย์อย่างยิ่ง เนื่องจากวิทยาการด้านงานก่อสร้างในอดีตไม่อาจเทียบเท่าปัจจุบันได้เลย เราจะเห็นได้จากร่องรอยสิ่งก่อสร้างที่ยังคงหลงเหลืออยู่ เรามิอาจรู้ได้เลยว่าแท้จริงแล้วจุดประสงค์ของการก่อสร้างสิ่งต่างๆ นั้นคืออะไร และได้รับแรงบันดาลใจมาจากสิ่งใด สวนลอยบาบิโลนคือ อีกสถานที่หนึ่งที่ยังคงเป็นสิ่งมหัศจรรย์และเป็นเครื่องหมายของความเจริญทางด้านการ
ชลประทานที่สามารถทำให้สวนพืชพันธุ์ต่างๆ มีความชุ่มชื่นอยู่ตลอดทั้งปี ความสวยงามและความยิ่งใหญ่ของสวนลอยบาบิโลนสร้างความประทับใจต่อผู้ที่ได้พบเห็น และกลายเป็นคำร่ำลือมาจนถึงปัจจุบัน

สวนลอยบาบิโลนนั้นสร้างขึ้นโดย พระเจ้าเนบูคัดเนสซาร์ เป็นกษัตริย์แห่งอาณาจักรแคลเดียน ขึ้นครองราชย์เมื่อ 605 ปีก่อนคริสตกาล พระองค์ทรงทำสงครามและธำรงค์บ้านเมืองให้มีความยิ่งใหญ่ อาณาเขตภายใต้การปกครองของพระองค์นั้นครอบคลุมบริเวณทั้งหมดที่เรียกว่า " ดินแดนเสี้ยวจันทร์อันอุดม " หมายถึง อาณาบริเวณนับตั้งแต่เยรูซาเล็มจรดอ่าวเปอร์เซีย ภายใต้การปกครองของพระเจ้าเนบูคัดเนสซาร์

นครบาบิโลนได้มีการบูรณะขึ้นใหม่ให้มีความยิ่งใหญ่อีกครั้งบนสองฝั่งแม่น้ำยูเฟรติส สิ่งก่อสร้างที่สำคัญๆตั้งอยู่บนฝั่งตะวันออก กำแพงด้านนอก 2 ชั้น ซึ่งยาว 18 กม. โอบล้อมอาณาบริเวณแม่น้ำยูเฟรติส มันใช้เป็นที่หลบภัยสำหรับชาวบ้านและฝูงสัตว์เลี้ยงในยามเกิดศึกสงคราม แนวป้องกันชั้นนอกมีป้อมบาบิล ช่วยเสริมความแข็งแกร่งทางตอนเหนือของอาณาจักร ปัจจุบันป้อมบาบิลยังคงตั้งตระหง่านมีความสูงถึง 22 เมตร ในอดีตมันเคยเป็นที่ตั้งพระราชวังฤดูร้อนของพระมหากษัตริย์ กำแพงชั้นในเป็นรูปสี่เหลี่ยมและมีคลองล้อมรอบเพื่อป้องกันอาณาจักรแคลเดียนหรือดินแ
ดนเมโสโปเตเมีย ทั้งวิหาร พระราชวัง และบ้านเรือน เป็นบริเวณที่มีความอุดมสมบูรณ์ล้อมรอบด้วยแม่น้ำไทกริสและยูเฟรติส ล้วนสร้างด้วยอิฐดิบที่ร่วนมากและแทบจะกลืนไปกับพื้นดินโดยรอบ

สวนลอยบาบิโลนสร้างขึ้นราว 600 ปีก่อนคริสตกาล พระเจ้าเนบูคัดเนสซาร์ โปรดให้สร้างขึ้นเหนือพื้นดินกึ่งทะเลทราย เพื่อประทานให้กับพระมเหสีซึ่งเป็นเจ้าหญิงแห่งอาณาจักรมีดส์ หรือ มีเดีย ซึ่งทั้งสองแคว้นเป็นพันธมิตรที่ดีต่อกัน ก่อนการสถาปนาเป็นอาณาจักรแคลเดียนนั้น ทั้งสองอาณาจักรเคยร่วมกันขับไล่พวกอัสซีเรียออกจากบริเวณลุ่มแม่น้ำไทกริส - ยูเฟรติส ตามตำนานได้กล่าวถึงพระนาง " อามิตัส " ว่าพระนางทรงอาลัยอาวรณ์แคว้นของตนเป็นยิ่งนัก จึงทำให้พระเจ้าเนบูคัดเนสซาร์จำต้องสร้างสวนลอยบาบิโลนขึ้น สวนแห่งนี้ได้จำลองเอาลักษณะภูมิประเทศของแคว้นมีเดียมาเป็นต้นแบบ สร้างโดยก่อเป็นเนินสูงซ้อนกันเป็นชั้นๆ สูงถึง 328 ฟุต หรือประมาณ 100 เมตร ล้อมรอบด้วยกำแพงหนาถึง 23 ฟุต หรือราว 7 เมตร แต่ละชั้นจะสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกและปลูกดอกไม้ พืชพันธุ์ต่างๆ ไว้มากมาย พันธุ์ไม้เหล่านี้ได้รวบรวมเอามาจากทุกมุมโลกเท่าที่จะหาได้ รวมไปถึงไม้ดอกไม้เลื้อย บันไดที่พาขึ้นไปสู่สวนลอยแห่งนี้ มีลักษณะกว้างขวางทำด้วยหินอ่อน ข้างใต้บันไดของแต่ละชั้นนั้นจะมีคานรับน้ำหนักเป็นอย่างดี ข้างบนเฉลียงของสวนจะมีถังน้ำไว้หล่อเลี้ยงน้ำพุ น้ำตก และสายน้ำต่างๆ บนสวนลอย น้ำจำนวนมากเหล่านี้ สูบมาจากแม่น้ำยูเฟรติสด้วยแรงงานทาส โดยการชักน้ำจากเบื้องล่างขึ้นไปสู่ชั้นบนสุดแล้วปล่อยลงมาให้ไหลลงสู่เบื้องล่างของ
แต่ละชั้น สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นความล้ำสมัยทางด้านสถาปัตยกรรม และระบบวิศวกรรมการชลประทานในยุคนั้น สวนลอยบาบิโลนจึงมีความงดงามอุดมสมบูรณ์อยู่เสมอในสมัยของพระเจ้าเนบูคัดเนสซาร์ เหล่านี้เป็นสิ่งที่กล่าวขานถึงความยิ่งใหญ่ต่อๆ กันมา เมื่อพ่อค้าได้เดินทางมาค้าขายยังเมืองบาบิโลนได้กล่าวถึงสวนลอยแห่งนี้ว่าอยู่สูงเด่น เห็นได้อย่างชัดเจนแม้ว่าจะอยู่ห่างไกลออกไป หลายกิโลเมตร

สิ่งก่อสร้างที่สวยงามและยิ่งใหญ่แห่งนี้ เป็นที่เลื่องลือนับแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน ถึงแม้ว่าวันนี้จะไม่มีสวนดังกล่าวให้เห็นแล้วก็ตาม แต่คำบอกเล่ากล่าวขานยังคงชัดเจนถึงความยิ่งใหญ่และความสวยงาม เสมือนกับสวนแห่งนี้ยังคงมีอยู่

วันเสาร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2553

วันพ่อแห่งชาติ


ความเป็นมาของวันพ่อแห่งชาติ

วันพ่อแห่งชาติ ได้จัดให้มีขึ้นครั้งแรก เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2523 โดยคุณหญิงเนื้อทิพย์ เสมรสุต นายกสมาคมผู้อาสาสมัครและช่วยการศึกษาเป็นผู้ริเริ่ม

หลักการและเหตุผลในการจัดตั้งวันพ่อแห่งชาติ

โดยที่พ่อเป็นผู้มีพระคุณมีบทบาทสำคัญต่อครอบครัวและ สังคม สมควรที่ผู้เป็นลูกจะเคารพเทิดทูนตอบแทนพระคุณด้วยความกตัญญู และสมควรที่สังคมจะยกย่องให้เกียรติรำลึกถึงผู้เป็นพ่อ จึงถือเอาวันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปี ซึ่งเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาเป็น “วันพ่อแห่งชาติ” ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยอย่างนานัปการ ทรงเป็นพระราชบิดาของพระราชโอรสและพระราชธิดาทรงรักใคร่และห่วงใยตั้งแต่พระเยาว์จนถึงปัจจุบันรวมทั้งพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าโสมสวลีพระวรราชาทินัดดามาตุ เรืออากาศเอกวีรยุทธ ดิษยศริน พระสวามีในสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์วลัยลักษณ์และพระเจ้าหลาน เธอทุกพระองค์ ต่างซาบซึ้งและปลาบปลื้มในพระมหากรุณาธิคุณอย่างมิรู้ลืม พระองค์ทรงเป็น “พ่อ” ตัวอย่างของปวงชนชาวไทยที่เปี่ยมล้นด้วยพระเมตตากรุณา ทรวงห่วงใยอย่างหาที่เปรียบมิได้

ซึ่งนอกจากพระองค์จะเป็นพระราชบิดาของพระราชโอรสและพระราชธิดา ทรงทะนุบำรุงพระราชโอรสธิดาด้วยความรัก และทรงอบรมอนุศาสน์ให้ทรงเจริญวัยสมบูรณ์ และทรงบำเพ็ญคุณานุประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชน เจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาทแล้ว พระองค์ยังทรงพระมหากรุณาทะนุบำรุงจัดทุกข์ผดุงสุขพสกนิกรถ้วนหน้า พระองค์ทรงเป็น “พ่อแห่งชาติ” ที่อาณาประชาราษฎร์เทิดทูนด้วยความจงรักภักดี สำนักในพระมหากรุณาธิคุณ และยึดมั่นในการเจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาทในการทะนุบำรุงชาติบ้านเมืองให้วัฒนาถาวรสืบไป


ดอกพุทธรักษา ดอกไม้ประจำวันพ่อ



"พุทธรักษา" ซึ่งหมายถึง พระพุทธเจ้าทรงปกป้องคุ้มครองให้มีแต่ความสงบสุขร่มเย็น ซึ่งมีเรียกกันมากว่า 200 ปี และสีเหลืองอันเป็นสีประจำวันพระราชสมภพขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ของปวงชนชาวไทย การมอบดอกพุทธรักษาให้กับพ่อจึงเสมือนกับการบอกถึง ความรักและเคารพบูชาพ่อผู้สร้างความสงบสุขร่มเย็นให้แก่ครอบครัว


วันอังคารที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

Elton John


ชื่อจริง Reginald Kenneth Dwight
วันเกิด 25 มีนาคม ค.ศ. 1947
แหล่งกำเนิด ลอนดอน,อังกฤษ
แนวเพลง ป็อป,เปียโน-ร็อก,ร็อก
อาชีพ นักร้อง,นักดนตรี,นักแต่งเพลง
ปี ค.ศ. 1967 - ปัจจุบัน

เซอร์เอลตัน จอห์น เกิดเมื่อวันที่ 25 มีนาคม ค.ศ. 1947 เป็นนักร้อง นักแต่งเพลง ชาวอังกฤษ เอลตัน จอห์นอยู่ในวงการเพลงมานาน 4 ทศวรรษ ประสบความสำเร็จอย่างมากในช่วงยุค 70 มียอดขายรวม 250 ล้านชุด มีเพลง Top 40 ในอเมริกามากกว่า 50เพลงรวมถึงมีอัลบั้มอันดับ 1 เจ็ดอัลบั้มติดต่อกัน มีเพลงติด Top 40 23 เพลง, มีเพลงติด Top10 16เพลงและเพลงอันดับ 1หกเพลง
เพลงดังที่เป็นที่รู้จักอย่าง ยัวร์ ซอง (your song) และเพลงประกอบภาพยนตร์ไลออน คิง ล่าสุดเอลตันจอห์นได้ เข้าพิธีวิวาห์กับนายเดวิด เฟอร์นิช แฟนหนุ่มนักสร้างภาพยนตร์ชาวแคนาดา วัย 43 ปี เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2548 หลังอังกฤษเปิดโอกาส ให้คู่รักร่วมเพศจดทะเบียนรับรอง การครองชีวิตคู่ได้ตามกฎหมายซีวิล พาร์ตเนอร์ชิป ซึ่งมีผลบังคับใช้มาตั้งแต่ 5 ธ.ค.
ปี 1997
เอลตัน จอห์น ได้ดัดแปลงเนื้อร้องของเพลง "Candle in the Wind" เพื่อเป็นการไว้อาลัยให้กับการจากไปของเจ้าหญิงไดอานา เขาได้แสดงเพลงนี้ในพิธีศพของเจ้าหญิง ณ วิหารเวสต์มินสเตอร์ หลังจากนั้น ซิงเกิ้ลเพลง "Candle in the Wind 1997" ได้กลายเป็นซิงเกิ้ลที่ทำยอดขายได้เร็วที่สุดตลอดกาลด้วยยอดขายกว่า 30 ล้านก็อปปี้ทั่วโลก รายได้ประมาณ 55 ล้านปอนด์จากการขายซิงเกิ้ลนี้ได้มอบให้กับกองทุน Diana, Princess of Wales Memorial Fund นอกจากนี้ เขายังได้รับรางวัลแกรมมี่สาขา Best Male Pop Vocal Performance จากซิงเกิ้ลนี้อีกด้วย เอลตัน จอห์น ได้รับการจารึกชื่อไว้ในหอเกียรติยศศิลปินร็อกแอนด์โรลในปี 1994 ซึ่งเป็นปีแรกที่เขาได้รับการเสนอชื่อ 2 รางวัล

รางวัลและเกียรติยศ

เมื่อปี 1992 เขากับเบอร์นี่ ทอพิน ได้รับการจารึกชื่อไว้ในหอเกียรติยศนักแต่งเพลง ในปี 1995 Elton John ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์แห่งสหราชอาณาจักร และในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 1998 สมเด็จพระราชินีอลิซาเบธที่ 2 ได้ทรงแต่งตั้งให้เขาเป็นอัศวิน อีกทั้งยังทรงพระราชทานยศให้เขาเป็นท่านเซอร์ ในวันที่ 9 ตุลาคม 2006 บริษัทวอลต์ ดีสนีย์ได้ประกาศให้ Elton John เป็นตำนานแห่งดีสนีย์ ซึ่งเป็นเกียรประวัติสูงสุดที่ทางดีสนีย์มอบให้เขาในฐานะที่เขาได้สร้างผลงานเพลงเลื่องชื่อมากมายให้กับภาพยนตร์และงานละครของดีสนีย์ เอลตัน จอห์น พิชิตบัลลังก์เพลงป็อปมาไว้ในมือได้แล้ว 2 รางวัล

พี่น้องตระกูลกริมม์ (The Brothers Grimm)


พี่น้องตระกูลกริมม์ (อังกฤษ: The Brothers Grimm; เยอรมัน: Die Gebrüder Grimm) หรือ ยาค็อบ กริมม์ (ค.ศ. 1785-1863) และวิลเฮล์ม กริมม์ (ค.ศ. 1786-1859) นักวิชาการชาวเยอรมันซึ่งเป็นที่รู้จักโด่งดังจากผลงานการรวบรวมนิทานพื้นบ้านและเทพนิยาย รวมถึงผลงานเกี่ยวกับวิวัฒนาการทางภาษาที่มีการเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา (กฎของกริมม์ หรือ Grimm's Law) นับว่าเป็นนักเล่านิทานที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคู่หนึ่งในยุโรป ซึ่งทำให้เทพนิยายมากมายแพร่หลายไปทั่วโลก เช่น รัมเพลสทิลสกิน, สโนไวท์, ราพันเซล, ซินเดอเรลล่า และ แฮนเซลกับเกรเธล
ประวัติ
เจค็อบ ลุดวิจ กริมม์ และ วิลเฮล์ม คาร์ล กริมม์ เกิดเมื่อวันที่ 4 มกราคม ค.ศ. 1785 และ 24 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1786 ตามลำดับ ที่เมืองฮาเนา ใกล้กับเมืองแฟรงค์เฟิร์ต แคว้นเฮสเซน พวกเขามีพี่น้องทั้งหมด 9 คน แต่มีชีวิตรอดเติบโตมาเพียง 6 คน ชีวิตในวัยเด็กของพวกเขาอยู่ในแถบชนบทอันงดงามร่มรื่น ครอบครัวกริมม์พำนักอยู่ใกล้คฤหาสน์ของเจ้าผู้ครองแคว้นระหว่างช่วงปี 1790-1796 เนื่องจากบิดาของพวกเขาเป็นลูกจ้างของเจ้าชายแห่งเฮสเซน
เมื่อเจค็อบซึ่งเป็นบุตรคนโตอายุได้ 11 ปี บิดาของพวกเขาคือ ฟิลิป วิลเฮล์ม ก็ถึงแก่กรรม ครอบครัวจึงต้องย้ายไปอาศัยในบ้านเล็กๆ คับแคบในตัวเมือง สองปีต่อมา ปู่ของพวกเขาก็เสียชีวิต จึงคงเหลือแต่แม่เพียงคนเดียวที่ต้องดิ้นรนหาเลี้ยงชีพและเลี้ยงดูเด็กๆ ยังเป็นข้อโต้แย้งอยู่ว่านี่อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่พี่น้องกริมม์มักยกผู้เป็นบิดาไว้ไม่ให้มีความผิด ขณะที่ทรราชฝ่ายหญิงมักมีบทบาทสำคัญในนิทาน เช่นแม่เลี้ยงใจร้ายและพี่สาวทั้งสองในเรื่อง ซินเดอเรลล่า แต่ผู้วิจารณ์คงจะลืมไปว่าพี่น้องกริมม์เป็นแต่เพียงผู้รวบรวมเทพนิยายเท่านั้น ไม่ใช่คนแต่งขึ้นมา

พี่น้องกริมม์ได้รับการศึกษาจาก Friedrichs-Gymnasium ใน Kassel และต่อมาได้เรียนวิชากฎหมายที่มหาวิทยาลัยมาร์เบิร์ก และที่นี่ ด้วยแรงบันดาลใจจาก ฟรีดดริค ฟอน ซาวินี (Friedrich von Savigny) ทำให้พี่น้องทั้งสองเริ่มมีความสนใจเกี่ยวกับเรื่องราวในอดีต ทั้งคู่เพิ่งมีอายุยี่สิบต้นๆ ในขณะที่เริ่มศึกษาด้านภาษาศาสตร์ และวางกฎของกริมม์ รวมถึงรวบรวมเรื่องราวเทพนิยายและเรื่องเล่านิทานพื้นบ้านจากที่ต่างๆ ซึ่งต่อมากลายเป็นผลงานที่มีชื่อเสียงอย่างมาก อันที่จริงผลงานรวบรวมนิทานปรัมปราเหล่านี้เป็นผลพลอยได้จากการศึกษาด้านภาษาศาสตร์ซึ่งเป็นเป้าหมายที่แท้จริงของคนทั้งสอง

ปี ค.ศ. 1808 มีบันทึกว่าเจค็อบได้เป็นบรรณารักษ์ในราชสำนักของกษัตริย์แห่ง Westphalia ปี ค.ศ. 1812 พี่น้องกริมม์ได้ตีพิมพ์ผลงานรวบรวมเทพนิยายของพวกเขาเป็นครั้งแรก ชื่อว่า Tales of Children and the Home ซึ่งพวกเขารวบรวมเรื่องราวมาจากชาวบ้านชนบท เรื่องบางส่วนก็ขัดแย้งกับที่มาของเรื่องอื่นๆ ที่ตีพิมพ์ในวัฒนธรรมอื่นและภาษาอื่น (เช่นงานของ ชาร์ลส์ แปร์โรลต์) พี่น้องกริมม์แบ่งงานกันทำ เจค็อบเน้นที่งานวิจัย ส่วนวิลเฮล์มทำหน้าที่ปะติดปะต่อเรื่องราว นำมาประพันธ์ใหม่ในรูปแบบวรรณกรรมและเขียนบรรยายในลักษณะของนิทานเด็ก พี่น้องทั้งสองยังให้ความสนใจกับนิทานพื้นบ้านและประวัติศาสตร์กำเนิดของวรรณกรรม ปี ค.ศ. 1816 เจค็อบได้เป็นบรรณารักษ์ใน Kassel ส่วนวิลเฮล์มก็ได้งานที่นั่นเช่นกัน ระหว่าง ค.ศ. 1816 - 1818 ทั้งสองได้ตีพิมพ์ตำนานเยอรมันสองชุด และประวัติวรรณกรรมยุคต้นอีกหนึ่งชุด

ขณะที่พี่น้องกริมม์เริ่มสนใจในภาษาเก่าแก่และความสัมพันธ์ของภาษาเหล่านั้นกับภาษาเยอรมัน เจค็อบเริ่มศึกษาประวัติศาสตร์และโครงสร้างของภาษาเยอรมันอย่างละเอียด ในเวลาต่อมา พวกเขาได้สรุปความสัมพันธ์ระหว่างคำต่างๆ และเรียกชื่อว่าเป็น กฎของกริมม์ โดยได้รวบรวมข้อมูลดิบไว้เป็นจำนวนมาก ปี ค.ศ. 1830 ทั้งสองได้ซื้อบ้านหลังหนึ่งใน Göttingen หลังจากมีหน้าที่การงานมั่นคงในเมืองนั้น เจค็อบได้เป็นศาสตราจารย์ และเป็นหัวหน้าบรรณารักษ์ในปี ค.ศ. 1830 ส่วนวิลเฮล์มได้เป็นศาสตราจารย์ในปี ค.ศ. 1835

ปี ค.ศ. 1837 พี่น้องกริมม์ร่วมกับศาสตราจารย์ที่เป็นเพื่อนร่วมงานในมหาวิทยาลัย Göttingen อีก 5 คน ร่วมกันคัดค้านการเพิกถอนรัฐธรรมนูญแห่งรัฐฮันโนเวอร์ของกษัตริย์ เออร์เนสต์ ออกัสตัส ที่หนึ่ง กลุ่มผู้คัดค้านนี้เป็นที่รู้จักต่อมาในชื่อ Die Göttinger Sieben (The Göttingen Seven) ทั้งหมดถูกไล่ออกจากมหาวิทยาลัย และมี 3 คนที่ถูกเนรเทศ รวมถึงเจค็อบด้วย เจค็อบหนีไปอาศัยอยู่ใน Kassel ซึ่งอยู่นอกอาณาเขตของกษัตริย์เออร์เนสต์ วิลเฮล์มติดตามไปสมทบภายหลัง โดยพำนักอยู่กับลุดวิจ น้องชายของพวกเขา ในปีต่อมาทั้งสองได้รับเชิญจากษัตริย์แห่งปรัสเซีย เชิญให้ไปพำนักอยู่ในเบอร์ลิน และทั้งสองก็ได้ย้ายไปยังเบอร์ลินนับแต่นั้น

ช่วงปลายชีวิตของพวกเขาอุทิศให้กับการจัดทำพจนานุกรมภาษาเยอรมัน ตีพิมพ์ชุดแรกออกมาเมื่อปี ค.ศ. 1854 และเป็นต้นแบบในการพัฒนาปรับปรุงเวอร์ชันต่างๆ ต่อมา เจค็อบครองตัวเป็นโสดตลอดชีวิตของเขา ส่วนวิลเฮล์มได้แต่งงานกับ เฮนเรียตเต โดโรเธีย ไวลด์ (Henriette Dorothea Wild หรือบางแห่งเรียกว่า Dortchen) เมื่อปี 1825 เธอเป็นบุตรีของเภสัชกรซึ่งเป็นเพื่อนกับครอบครัวกริมม์มาตั้งแต่เด็ก ที่ซึ่งพี่น้องกริมม์ได้ฟังนิทานเรื่อง หนูน้อยหมวกแดง เป็นครั้งแรก วิลเฮล์มมีบุตร 4 คนโดยเสียชีวิตตั้งแต่เด็กไป 1 คน แต่พี่น้องทั้งสองก็ยังสนิทกันมากแม้หลังจากที่วิลเฮล์มแต่งงานแล้วก็ตาม

วิลเฮล์มเสียชีวิตในกรุงเบอร์ลินเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม ค.ศ. 1859 เจค็อบยังคงทำงานรวบรวมพจนานุกรมและโครงการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องต่อไปจนกระทั่งเสียชีวิตในเบอร์ลินเช่นกัน เมื่อวันที่ 20 กันยายน ค.ศ. 1863 ร่างของทั้งสองฝังไว้ที่สุสาน St. Matthäus Kirchhof ใน Schöneberg ในเบอร์ลิน พี่น้องตระกูลกริมม์ได้เผยแพร่แนวคิดเกี่ยวกับประชาธิปไตยให้แพร่หลายกว้างขวางในเยอรมนี และได้รับความเคารพยกย่องเป็นหนึ่งในผู้มีอิทธิพลในการเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยในเยอรมนี ซึ่งต่อมาราชอาณาจักรปรัสเซียได้ก่อการปฏิวัติในช่วงปี 1848-1849 และเริ่มต้นระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญขึ้น

วันพุธที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2553

หอเอนปิซ่า



หอเอนเมืองปิซา (อิตาลี: Torre pendente di Pisa หรือ La Torre di Pisa, อังกฤษ: Leaning Tower of Pisa) ตั้งอยู่ที่เมืองปิซา ในจัตุรัสเปียซซา เดล ดูโอโม (Piazza Del Duomo) หอระฆังของศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก เป็นหอทรงกระบอก 8 ชั้น สร้างด้วยหินอ่อนสีขาว สูง 183.3 ฟุต (55.86 เมตร) น้ำหนักรวม 14,500 ตันโดยประมาณ มีบันได 293 ขั้น เอียง 3.97 องศา ยอดของหอห่างจากแนวตั้งฉาก 3.9 เมตร

การสร้าง
เริ่มสร้างเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ.1173 สร้างเสร็จเมื่อปี 1350 ใช้เวลาสร้างประมาณ 175 ปี แต่การก่อสร้างหยุดชะงักเมื่อสร้างไปได้ถึงชั้น 3 เนื่องจากพื้นใต้ดินเป็นพื้นดินที่นิ่ม ทำให้ยุบตัว ต่อมาในปี ค.ศ.1272 โดย Giovanni di Simone สร้างให้เอนกลับไปอีกด้านหนึ่งเพื่อให้สมดุล แต่การก่อสร้างในครั้งนี้ ก็ต้องหยุดชะงักลงอีกครั้งเนื่องจากเกิดสงคราม ต่อมาก็มีการสร้างหอต่อขึ้นอีกและสร้างเสร็จ 7 ชั้น ในปี ค.ศ.1319 แต่หอระฆังถูกสร้างเสร็จในปี ค.ศ.1372 โดยใช้เวลาสร้างทั้งหมด 177 ปี
หลังจากนั้น ในปี ค.ศ. 1990-2001 หอเอนปีซาได้รับการปรับปรุงฐานให้แข็งแรงยิ่งขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้หอล้มลงมา
ประวัติ
กาลิเลโอ กาลิเลอิ เคยใช้หอนี้ทดลองเกี่ยวกับเรื่อง แรงโน้มถ่วง ในตอนที่เขาเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยปิซา โดยใช้ลูกบอล 2 ลูกที่น้ำหนักไม่เท่ากันทิ้งลงมา เพื่อพิสูจน์ว่า ลูกบอล 2 ลูกจะตกถึงพื้นพร้อมกัน ซึ่งก็เป็นไปตามที่กาลิเลโอคาดไว้
ในปี ค.ศ.1934 เบนิโต มุสโสลินี พยายามจะทำให้หอกลับมาตั้งฉากดังเดิม โดยเทคอนกรีตลงไปที่ฐาน แต่กลับทำให้หอยิ่งเอียงมากขึ้นไปอีก กองทัพสหรัฐฯ ตัดสินใจไม่ยิงปืนใหญ่ใส่หอเอนเมืองปิซา
วันที่ 27 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1964 รัฐบาลอิตาลี พยายามหยุดการเอียงของหอเอนเมืองปิซา โดยผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ เช่น วิศวกร นักคณิตศาสตร์ และนักประวัติศาสตร์ โดยใช้เหล็กรวมกว่า 800 ตัน ค้ำไว้ไม่ให้หอล้มลงมา
ในวันที่ 7 มกราคม ค.ศ.1990 หอเอนเมืองปิซาถูกปิดไม่ให้นักท่องเที่ยว เพื่อความปลอดภัย อีกทั้งยังขุดดินของอีกด้านหนึ่งออก เพื่อให้สมดุลยิ่งขึ้น และในวันที่ 15 ธันวาคม 2001 หอเอนเมืองปิซาถูกเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมอีกครั้ง และถูกประกาศว่าสมดุลแล้วใน 300 ปีต่อมาหลังจากเริ่มทำการปรับปรุง
ค.ศ.1987 หอเอนเมืองปิซาถูกประกาศให้เป็นมรดกโลก โดยเป็นส่วนหนึ่งของ Piazza Dei Miracoli หอเอนเมืองปิซายังเป็น 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลางอีกด้วย
• นอกจากนี้หอเอนเมืองปิซานี้ช่วยให้กาลิเลโอ นักวิทยาศาสตร์ ชาวอิตาเลียน ผู้มีชื่อเสียงของโลก ได้ทดลองความจริง เรื่องน้ำหนักของของที่ตกเป็นผลสำเร็จอีกด้วย*

แกรนด์แคนย่อน



แกรนด์แคนยอน : Grand Canyon <มลรัฐอะริโซนา ประเทศสหรัฐอเมริกา>
แกรนด์แคนยอนถือเป็นความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่แห่งหนึ่งของโลกถูกจัดให้เป็นหนึ่งในอนุรักษ์สถาน ของโลกโดยตามสภาพภูมิศาสตร์และการลงมติของสหประชาชาติ สำรวจพบสถานที่แห่งนี้ เมื่อปี ค.ศ. 1776 ปีเดียวกับที่อเมริกาประกาศเอกราชจากอังกฤษ แต่เพิ่งมารู้ว่ามีแม่น้ำโคโรลาโดไหลผ่านในปี ค.ศ 1857 แม่น้ำโคโลราโดไหลจากทิศเหนือไปใต้สู่ทะเลสาบมี๊ด ระยะทางประมาณ 200 ไมล์ Grand Canyon ถูกจัดให้ เป็นวนอุทยานแห่งชาติของสหรัฐ

แกรนด์แคนยอนเกิดขึ้นโดยอิทธิพลของแม่น้ำโคโลราโด ไหลผ่านที่ราบสูงทำให้เกิดการสึกกร่อน พังทะลายของ หินเป็นเวลา 225 ล้านปีมาแล้ว เดิมทีแม่น้ำโคโลราโดมีสภาพเป็นลำธารเล็กๆที่ไหลคดเคี้ยวไป ตามที่ราบกว้าง ใหญ่ที่อยู่ระดับเดียวกับน้ำทะเล ต่อมาพื้นโลกเริ่มยกตัวสูงขึ้น อันเนื่องมาจากแรงดันและความร้อนอันมหาศาล ภายใต้พื้นโลกที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนรูปและกลายเป็นแนวเทือกเขากว้างใหญ่ การยกตัวของแผ่นดินทำให้ทางที่ ลำธารไหลผ่านลาดชันขึ้นและทำให้น้ำไหลแรงมากขึ้น พัดเอาทรายและตะกอนไปตามน้ำเกิดการกัดเซาะลึกลง ไปทีละน้อยในเปลือกโลก วัดจากขอบลงไปก้นหุบเหวกว่า 1 ไมล์ (ประมาณ 1,600 เมตร) และอาจลึกว่าสอง เท่าของความหนาของเปลือกโลก ก่อให้เกิดหินแกรนิต หินชั้นแบบต่างๆพื้นดินที่เป็น หินทรายถูกน้ำ และลม กัดเซาะ จนเป็นร่องลึกสลับซับซ้อนนานนับล้านปี เป็นแคนยอนงดงามน่าพิศวงเนื่อง จากผลของดินฟ้าอากาศ ความร้อนเย็นซึ่งมีอิทธิพลรอบด้าน

ทางตะวันตกของแม่น้ำโคโลราโดมีลักษณะคดเคี้ยวไปมาน่าสับสนและเป็นที่ตั้งส่วนหนึ่งของแกรนด์แคนยอนด้วย โดยยาวถึง 150-200 ไมล์ บริเวณนี้เป็นจุดที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจมากที่สุดจุดหนึ่ง ซึ่งก็คงเป็นเพราะ ทัศนียภาพที่แปลกตาของความลึกของหุบเขาและลักษณะของแม่น้ำที่มีรูปร่างทรงกรวยและไหลเป็นหลั่นๆชั้นลงไป โดยเกิดจากลาวาที่ทับถมจากภูเขาไฟเมื่อหลายล้านปีก่อนนั่นเอง

บริเวณหน้าผาของแกรนด์ แคนยอน แม่น้ำโคโลราโดได้เดินทางมาบรรจบ กับแม่น้ำ"เวอร์จิน" ซึ่งเป็นที่ตั้งของ ทะเลสาบ"มี๊ด"ด้วยจุดนี้ ไม่เพียงแต่เป็นจุดสิ้นสุดของแกรนด์ แคนยอนเท่านั้น แต่ยังเป็นจุดสำคัญทางธรณีวิทยาแห่งหนึ่ง อย่างดีทั้งนี้เพราะสภาพบรรยากาศที่แปลกแตกต่างจากที่อื่นอย่างมาก เมื่อเปรียบเทียบกับที่ราบสูงโคโลราโดทาง ตะวันออก 2 จุดนี้เป็นจุดที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นในด้านของโครงสร้างภูมิศาสตร์หรือประวัติศาสตร์

ในทางใต้ของแม่น้ำสายนี้จะเป็นทางลาดลงไปกว่า 3,000 ฟุต โดยเกิดจากดินทรายที่พัดพามาจากที่สูงแถบนี้ เป็นที่ตั้งของที่ราบสูง "ตอนใต้" และห่างออกไป 70 ไมล์ก็เป็นที่ตั้งของช่องแคบ "อินเนอร์ กอร์จ"ที่เป็นรูปตัว "วี" แคบๆ และกว้าง 300 ฟุตนอกจากนี้สีสรรของสายน้ำก็ยังเปลี่ยนแปลงไปด้วย บางวันก็เป็นสีน้ำตาล บางวันก็เป็นสีเขียว ซึ่งขึ้นอยู่กับจำนวนของตะกอนที่พัดพามาแต่ละวัน

นอกจากนั้นในบริเวณซอกหลืบของหุบเขาน้อยใหญ่ยังมีการค้นพบร่องรอยอารยธรรมของชาวอินเดียนแดงโบราณ ซึ่งยังมีลูกหลานดำรงชีวิตแบบดั้งเดิมและบางส่วนก็ยังคงอยู่ที่แกรนด์ แคนยอน จนถึงทุกวันนี้ เช่น อินเดียนแดงเผ่า Hopis, Havasupais, Navajos, Hualapais, Paiutes, Pueblos เป็นต้น ทุก ๆ ปีจะมีคนไปชมความมหัศจรรย์ ของแกรนด์แคนยอนไม่ต่ำกว่าสองล้านคน

วันศุกร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2553

น้ำตกไนแอการา




น้ำตกไนแอการา (อังกฤษ: Niagara Falls ; ฝรั่งเศส: les Chutes du Niagara) เป็นน้ำตกขนาดใหญ่หลายแห่งประกอบกัน ตั้งอยู่บนแม่น้ำไนแอการาทางตะวันออกของทวีปอเมริกาเหนือ บนพรมแดนระหว่างประเทศแคนาดากับสหรัฐอเมริกา น้ำตกไนแอการาประกอบด้วยน้ำตกสามแห่งที่แยกออกจากกัน คือ น้ำตกเกือกม้า (Horseshoe Falls บางครั้งก็เรียก น้ำตกแคนาดา) สูง 158 ฟุต, น้ำตกอเมริกาสูง 167 ฟุต, และน้ำตกขนาดเล็กกว่าที่อยู่ติดกัน คือน้ำตก Bridal Veil. แม้น้ำตกไนแอการาจะไม่สูงอย่างโดดเด่น แต่ก็กว้างมาก

น้ำตกไนแองการามีจุดชมวิวที่สวยงามและเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของทั้ง 2 ประเทศมานานกว่าศตวรรษ

แม่น้ำไนแอการาไหลมาจากทะเลสาบอีรีไหลผ่านน้ำตกไนแอการาลงสู่ทะเลสาบออนตาริโอ เมืองสองฝั่งของน้ำตกในสองประเทศนั้นเป็นเมืองแฝด โดยในฝั่งแคนาดาคือ ไนแอการาฟอลส์ ออนตาริโอ ส่วนในฝั่งสหรัฐอเมริกาคือ ไนแอการาฟอลส์ มลรัฐนิวยอร์ก

สนามกีฬากรุงโรม



สนามกีฬาแห่งกรุงโรม (The colosseum of Rome)

สนามกีฬาแห่งกรุงโรม เป็นสนามกีฬากลางแจ้งขนาดใหญ่ที่เริ่มสร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดิเวสปาเซียนแห่งอาณาจักรโรมัน และสร้างเสร็จในสมัยของจักรพรรดิติตัส (Titus) ในคริสต์ศตวรรษที่ 1 หรือ ประมาณปี ค.ศ. 80 อัฒจันทร์เป็นรูปวงกลมก่อด้วยอิฐและหินทรายวัดโดยรอบได้ประมาณ 527 เมตร สูง 57 เมตร สามารถจุผู้ชมได้ประมาณ 50,000 คน ใต้อัฒจรรย์มีห้องใต้ดินที่สร้างขึ้นเพื่อขังสิงโตและนักโทษประหาร ก่อนปล่อยให้ออกมาต่อสู้กันกลางสนาม นอกจากนี้ยังใช้เป็นสถานที่ประลองฝีมือของเหล่าอัศวินในยุคนั้น ปัจจุบันยังคงเหลือโครงสร้างเกือบสมบูรณ์ตั้งเด่นเป็นโบราณสถานที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ทั่วโลก

พีระมิดกิซ่า


มหาพีระมิดกีซ่า (Giza Plateau) : 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ
• พีระมิดสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ฝังพระศพของกษัตริย์อียิปต์โบราณ ชาวอียิปต์ในสมัยนั้นเชื่อเรื่องชีวิตหลังความตาย ดังนั้นจึงต้องแน่ใจว่ากษัตริย์ของพวกเขาจะทรงมีทุกสิ่งทุกอย่างที่จำเป็นสำหรับโลกหน้า พวกเขาได้ฝังทรัพย์สินและสิ่งของส่วนพระองค์ไปพร้อมกัน สิ่งที่นักโบราณคดีค้นพบเป็นจำนวนมากในห้องเก็บสมบัติของปิรามิดได้แก่เพชรพลอย อาหาร เครื่องเรือน เครื่องดนตรี และอุปกรล่าสัตว์
• พีระมิดที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกได้แก่ พีระมิดเห่งเมืองกีซ่า (เมืองกีเซห์) ซึ่งเป็นที่บรรจุพระบรมศพของกษัตริย์คีออปส์(CHEOPS) หรือ คูฟู ซึ่งพระองค์เป็นผู้สร้างขึ้นเองเมื่อก่อนคริสตกาลประมาณ 25,800 ปี นับอายุจนถึงปัจจุบันก็กว่า 4,500 ปี ถือเป็นพีระมิดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ตั้งอยู่ที่กลางทะเลทราย พีระมิดแห่งนี้เดิมสูง 481.4 ฟุต แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 450 ฟุต ฐานกว้าง 768 ฟุต ใช้หินทรายตัดเป็นแท่งรูปสามเหลี่ยมหนักประมาณก้อนละ 2 ตันครึ่ง บางก้อนหนักถึง 16 ตัน โดยการนำเอามาซ้อนกันขึ้นไปเป็นทรงกรวย เชื่อกันว่าพีระมิดองค์นี้จะทนแดดทนฝนอยู่ได้อีกนานกว่า 5,000 ปี และเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของยุคโบราณสิ่งเดียวเท่านั้นที่มีอายุยืนยาวมาจนถึงปัจจุบัน
• พีระมิดแห่งกีซ่าประกอบด้วย
1.พีระมิดคูฟู (Khufu) หรือ มหาพีระมิดแห่งกิซ่า (The Great Pyramid of Giza) ซึ่งเป็นหนึ่งเดียวในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ที่ยังคงเหลืออยู่ในปัจจุบัน มีขนาดใหญ่ที่สุดและเก่าแก่ที่สุดในหมู่พีระมิดแห่งกิซ่า
2.พีระมิดคาเฟร (Khafre) ตั้งอยู่ตรงกลางของพีระมิดทั้ง 3 และสร้างอยู่บนพื้นที่สูง ทำให้ดูเหมือนมีขนาดใหญ่ที่สุด และมีบางคนเข้าใจผิดว่าพีระมิดคาเฟรคือมหาพีระมิดแห่งกิซ่า ทางทิศตะวันออกของพีระมิดคาเฟรมี มหาสฟิงซ์(The Great Sphinx of Giza) หินแกะสลักขนาดมหึมาที่มักปรากฏในภาพถ่ายคู่กับพีระมิดคาเฟร
3.พีระมิดเมนคูเร (Menkaure) ขนาดเล็กที่สุดและเก่าแก่น้อยที่สุดในหมู่พีระมิดแห่งกิซ่า จากตำแหน่งการก่อสร้างทำให้คาดได้ว่า เดิมอาจตั้งใจสร้างให้มีขนาดใกล้เคียงพีระมิดคูฟู และพีระมิดคาเฟรแต่ในที่สุดก็สร้างในขนาดที่เล็กกว่า พีระมิดเมนคูเรมักปรากฏในภาพถ่ายพร้อมกับหมู่พีระมิดราชินีทั้ง 3 (The Three Queen's Pyramids)
• การสร้างพีระมิด เกิดจากแรงศรัทธาแลกกับอาหารและเสื้อผ้า
• การสร้างพีระมิด สร้างโดยแรงงานมนุษย์กับเครื่องมือธรรมดาๆในการก่อสร้างเพียงไม่กี่ชนิดเท่านั้น ผู้ที่สร้างปิรามิดไม่ใช่พวกทาส แต่เป็นช่างฝีมือและชาวนาที่อยู่ว่างในระหว่างที่น้ำจากแม่น้ำไนล์ท่วมพื้นที่ทำการเกษตรของตน แม้ว่าประชาชนนับพันๆคนที่มาช่วยสร้างปิรามิดจะทำงานเพื่อแลกกับอาหารและเสื้อผ้า แต่ทุกคนก็ต้องการมีส่วนร่วมในการสร้างที่ฝังพระศพของกษัตริย์ที่พวกเขานับถือเป็นเทพเจ้า

วันศุกร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2553

William Shakespeare


William Shakespeare (baptised 26 April 1564; died 23 April 1616)[a] was an English poet and playwright, widely regarded as the greatest writer in the English language and the world's pre-eminent dramatist.He is often called England's national poet and the "Bard of Avon". His surviving works, including some collaborations, consist of about 38 plays, 154 sonnets, two long narrative poems, and several other poems. His plays have been translated into every major living language and are performed more often than those of any other playwright.

Shakespeare was born and raised in Stratford-upon-Avon. At the age of 18, he married Anne Hathaway, with whom he had three children: Susanna, and twins Hamnet and Judith. Between 1585 and 1592, he began a successful career in London as an actor, writer, and part owner of a playing company called the Lord Chamberlain's Men, later known as the King's Men. He appears to have retired to Stratford around 1613, where he died three years later. Few records of Shakespeare's private life survive, and there has been considerable speculation about such matters as his physical appearance, sexuality, religious beliefs, and whether the works attributed to him were written by others.

Shakespeare produced most of his known work between 1589 and 1613. His early plays were mainly comedies and histories, genres he raised to the peak of sophistication and artistry by the end of the 16th century. He then wrote mainly tragedies until about 1608, including Hamlet, King Lear, and Macbeth, considered some of the finest works in the English language. In his last phase, he wrote tragicomedies, also known as romances, and collaborated with other playwrights.

Many of his plays were published in editions of varying quality and accuracy during his lifetime. In 1623, two of his former theatrical colleagues published the First Folio, a collected edition of his dramatic works that included all but two of the plays now recognised as Shakespeare's.

Shakespeare was a respected poet and playwright in his own day, but his reputation did not rise to its present heights until the 19th century. The Romantics, in particular, acclaimed Shakespeare's genius, and the Victorians worshipped Shakespeare with a reverence that George Bernard Shaw called "bardolatry". In the 20th century, his work was repeatedly adopted and rediscovered by new movements in scholarship and performance. His plays remain highly popular today and are constantly studied, performed and reinterpreted in diverse cultural and political contexts throughout the world.
Plays
Most playwrights of the period typically collaborated with others at some point, and critics agree that Shakespeare did the same, mostly early and late in his career. Some attributions, such as Titus Andronicus and the early history plays, remain controversial, while The Two Noble Kinsmen and the lost Cardenio have well-attested contemporary documentation. Textual evidence also supports the view that several of the plays were revised by other writers after their original composition.

The first recorded works of Shakespeare are Richard III and the three parts of Henry VI, written in the early 1590s during a vogue for historical drama. Shakespeare's plays are difficult to date, however,and studies of the texts suggest that Titus Andronicus, The Comedy of Errors, The Taming of the Shrew and The Two Gentlemen of Verona may also belong to Shakespeare’s earliest period. His first histories, which draw heavily on the 1587 edition of Raphael Holinshed's Chronicles of England, Scotland, and Ireland,[dramatise the destructive results of weak or corrupt rule and have been interpreted as a justification for the origins of the Tudor dynasty. The early plays were influenced by the works of other Elizabethan dramatists, especially Thomas Kyd and Christopher Marlowe, by the traditions of medieval drama, and by the plays of Seneca.The Comedy of Errors was also based on classical models, but no source for The Taming of the Shrew has been found, though it is related to a separate play of the same name and may have derived from a folk story.Like The Two Gentlemen of Verona, in which two friends appear to approve of rape, the Shrew's story of the taming of a woman's independent spirit by a man sometimes troubles modern critics and directors.


Oberon, Titania and Puck with Fairies Dancing. By William Blake, c. 1786. Tate Britain.Shakespeare's early classical and Italianate comedies, containing tight double plots and precise comic sequences, give way in the mid-1590s to the romantic atmosphere of his greatest comedies. A Midsummer Night's Dream is a witty mixture of romance, fairy magic, and comic lowlife scenes. Shakespeare's next comedy, the equally romantic Merchant of Venice, contains a portrayal of the vengeful Jewish moneylender Shylock, which reflects Elizabethan views but may appear derogatory to modern audiences. The wit and wordplay of Much Ado About Nothing, the charming rural setting of As You Like It, and the lively merrymaking of Twelfth Night complete Shakespeare's sequence of great comedies. After the lyrical Richard II, written almost entirely in verse, Shakespeare introduced prose comedy into the histories of the late 1590s, Henry IV, parts 1 and 2, and Henry V. His characters become more complex and tender as he switches deftly between comic and serious scenes, prose and poetry, and achieves the narrative variety of his mature work.This period begins and ends with two tragedies: Romeo and Juliet, the famous romantic tragedy of sexually charged adolescence, love, and death; and Julius Caesar—based on Sir Thomas North's 1579 translation of Plutarch's Parallel Lives—which introduced a new kind of drama. According to Shakespearean scholar James Shapiro, in Julius Caesar "the various strands of politics, character, inwardness, contemporary events, even Shakespeare's own reflections on the act of writing, began to infuse each other".


Hamlet, Horatio, Marcellus, and the Ghost of Hamlet's Father. Henry Fuseli, 1780–5. Kunsthaus Zürich.In the early 17th century, Shakespeare wrote the so-called "problem plays" Measure for Measure, Troilus and Cressida, and All's Well That Ends Well and a number of his best known tragedies. Many critics believe that Shakespeare's greatest tragedies represent the peak of his art. The titular hero of one of Shakespeare's most famous tragedies, Hamlet, has probably been discussed more than any other Shakespearean character, especially for his famous soliloquy "To be or not to be; that is the question".Unlike the introverted Hamlet, whose fatal flaw is hesitation, the heroes of the tragedies that followed, Othello and King Lear, are undone by hasty errors of judgement.The plots of Shakespeare's tragedies often hinge on such fatal errors or flaws, which overturn order and destroy the hero and those he loves. In Othello, the villain Iago stokes Othello's sexual jealousy to the point where he murders the innocent wife who loves him.In King Lear, the old king commits the tragic error of giving up his powers, initiating the events which lead to the murder of his daughter and the torture and blinding of the Earl of Gloucester. According to the critic Frank Kermode, "the play offers neither its good characters nor its audience any relief from its cruelty".In Macbeth, the shortest and most compressed of Shakespeare's tragedies, uncontrollable ambition incites Macbeth and his wife, Lady Macbeth, to murder the rightful king and usurp the throne, until their own guilt destroys them in turn.In this play, Shakespeare adds a supernatural element to the tragic structure. His last major tragedies, Antony and Cleopatra and Coriolanus, contain some of Shakespeare's finest poetry and were considered his most successful tragedies by the poet and critic T. S. Eliot.

In his final period, Shakespeare turned to romance or tragicomedy and completed three more major plays: Cymbeline, The Winter's Tale and The Tempest, as well as the collaboration, Pericles, Prince of Tyre. Less bleak than the tragedies, these four plays are graver in tone than the comedies of the 1590s, but they end with reconciliation and the forgiveness of potentially tragic errors. Some commentators have seen this change in mood as evidence of a more serene view of life on Shakespeare's part, but it may merely reflect the theatrical fashion of the day. Shakespeare collaborated on two further surviving plays, Henry VIII and The Two Noble Kinsmen, probably with John Fletcher.

Performances
It is not clear for which companies Shakespeare wrote his early plays. The title page of the 1594 edition of Titus Andronicus reveals that the play had been acted by three different troupes.[100] After the plagues of 1592–3, Shakespeare's plays were performed by his own company at The Theatre and the Curtain in Shoreditch, north of the Thames. Londoners flocked there to see the first part of Henry IV, Leonard Digges recording, "Let but Falstaff come, Hal, Poins, the rest...and you scarce shall have a room". When the company found themselves in dispute with their landlord, they pulled The Theatre down and used the timbers to construct the Globe Theatre, the first playhouse built by actors for actors, on the south bank of the Thames at Southwark.The Globe opened in autumn 1599, with Julius Caesar one of the first plays staged. Most of Shakespeare's greatest post-1599 plays were written for the Globe, including Hamlet, Othello and King Lear.

The reconstructed Globe Theatre, London.After the Lord Chamberlain's Men were renamed the King's Men in 1603, they entered a special relationship with the new King James. Although the performance records are patchy, the King's Men performed seven of Shakespeare's plays at court between 1 November 1604 and 31 October 1605, including two performances of The Merchant of Venice.After 1608, they performed at the indoor Blackfriars Theatre during the winter and the Globe during the summer.The indoor setting, combined with the Jacobean fashion for lavishly staged masques, allowed Shakespeare to introduce more elaborate stage devices. In Cymbeline, for example, Jupiter descends "in thunder and lightning, sitting upon an eagle: he throws a thunderbolt. The ghosts fall on their knees."
The actors in Shakespeare's company included the famous Richard Burbage, William Kempe, Henry Condell and John Heminges. Burbage played the leading role in the first performances of many of Shakespeare's plays, including Richard III, Hamlet, Othello, and King Lear. The popular comic actor Will Kempe played the servant Peter in Romeo and Juliet and Dogberry in Much Ado About Nothing, among other characters. He was replaced around the turn of the 16th century by Robert Armin, who played roles such as Touchstone in As You Like It and the fool in King Lear. In 1613, Sir Henry Wotton recorded that Henry VIII "was set forth with many extraordinary circumstances of pomp and ceremony". On 29 June, however, a cannon set fire to the thatch of the Globe and burned the theatre to the ground, an event which pinpoints the date of a Shakespeare play with rare precision.

วันพุธที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2553

Vivienne Westwood


วิเวียน เวสต์วูด (อังกฤษ: Vivienne Westwood) (ชื่อตามเกิด:วิเวียน อิซาเบล สไวร์ Vivienne Isabel Swire) เกิดที่เมืองกลอสสอปเดล มณฑลดาร์บีเชียร์ เมื่อวันที่ 8 เมษายน ค.ศ. 1941 เธอเป็นดีไซเนอร์ชาวอังกฤษในแนวพังค์ร็อก และนิวเวฟ ผู้ทรงอิทธิพลในวงการแฟชั่นระดับโลก นับตั้งแต่ยุค 70 ในช่วงของยุค "พังค์" เสื้อผ้าของเธอถูกสวมใส่โดยวง ดนตรีพังค์ร็อกเซ็กซ์ พิสทอลส์ ที่โด่งดังที่สุดในยุค 70มาจนถึงปัจจุบัน รายได้การขายเสื้อผ้าที่เธอดีไซน์ให้ลูกค้าผู้ดีมากกว่า 32 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 1998

วิเวียนได้รับรางวัล British Designer ในปี 1990 และในปี 1992 เธอได้รับ รางวัล OBE สำหรับความกระตือรือร้นในแฟชั่น ในปี 1998 เธอได้รับรางวัล จากราชินีอังกฤษสำหรับยอดการส่งออกที่มากที่สุดในรอบปี และในปี 2003 วิเวียน็เป็นที่รู้จักในนามของ Designer of the year

เธอได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ท่านผู้หญิง (Dame) จากราชสำนักอังกฤษตอบแทนการเป็นดีไซเนอร์ที่สร้างชื่อให้ประเทศ
ช่วงปลายทศวรรษ 70 วิเวียนถึงจุดอิ่มตัวกับเครื่องแต่งกายแบบพังค์ ช่วงนี้เองถือเป็นอีกหนึ่งจุดเปลี่ยน เพราะเธอเริ่มศึกษาประวัติศาสตร์เพื่อหาแรงบันดาลใจ จึงปรับโฉมร้านอีกครั้งเรียกว่า“วิลด์สเอ็น” คือการทำแฟชั่นโชว์ 2 คอลเลคชั่นร่วมกันคือ “โรแมนติก ออฟ เดอะ ซี” และ“นอสเตลเจีย ออฟ มัด” สองคอลเลคชั่นนี้เองถือเป็นจุดเปิดอาชีพการเป็นแฟชั่นดีไซเนอร์อย่างแท้จริงของเวตส์วูด ในปี 1983 เวตส์วูดเริ่มทำคอลเลคชั่น “วิตเชส” ด้วยการผสมแรงบันดาลใจจากของพื้นบ้านกับอุตสาหกรรมการผลิต ในปีค.ศ. 1983 นี้เองผลงานของเธอก็ได้ขึ้นแคทวอล์คที่ปารีส โดยเธอเป็นดีไซเนอร์ชาวอังกฤษคนที่ 2 ต่อจาก Mary Quant

ในปี 1984 เวตส์วูดสร้างชื่อเสียงอีกครั้งด้วยการนำเอารูปทรงรัดรูปของเสื้อผ้าสตรีสมัยก่อนมาตัดทอน และดัดแปลงในคอลเลคชั่น Minicrinis พร้อมรองเท้าส้นตึกอันเป็นสัญลักษณ์ของเธอ ในปี 1987 เวตส์วูดนำคอลเซ็ตมาดัดแปลงเป็นชุด

แต่เธอก็ยังหันมาสร้างสรรค์ผลงานช่วยเหลือสังคม อย่างในช่วงปลายปี ค.ศ. 2005 เธอก็ได้เข้าร่วมโครงการเพื่อสิทธิมนุษยชนของอังกฤษ โดยเธอได้ออกแบบเสื้อยืดสำหรับเด็กและทารกที่สกรีนคำว่า I am not a terrorist, please don’t arrest me (หนูไม่ใช่ผู้ก่อการร้าย ได้โปรดอย่ากักกันหนู) ออกวางขายในจำนวนจัดตัวละ 50 ปอนด์ โดยนำรายได้ทั้งหมดไปสนับสนุนองค์กรนี้
ทัศนคติ
ยุคแรก วิเวียนแสดงออกถึงการต่อต้านสังคมระบบชนชั้นผู้ดี ผ่านงานดีไซน์ในหลากวิธี เช่น วัสดุนอกกรอบทั้งกระดูกไก่ ยางรถยนต์ หมุด โซ่ ภาพจากนิตยสารเก่า ฯลฯ ถูกนำมาสร้างเป็นเสื้อยืดดิบๆ ในสังเวียนแฟชั่นยุคแรกคือ วิเวียนไม่ได้ขายแค่เสื้อผ้าสไตล์พังก์ร็อก แต่สิ่งที่เธอพยายามเสนอขายแก่สังคมคือ ทัศนคติ (attitude) ที่ว่า "กล้าที่จะยืนนอกกรอบ แล้วบอกว่านี่คือสิ่งที่ฉันต้องการ"

วิเวียนยังใช้งานดีไซน์เป็นเครื่องมือสื่อสารทางเพศอย่างเข้มข้น ไม่ว่าจะเป็นการพิมพ์ลายหน้าอกผู้หญิงและรูปคาวบอยเปลือยบนเสื้อยืด หรือกระดุมรูปศิวลึงค์ รวมทั้งการเฉือนเสื้อผ้าให้ขาดวิ่นเห็นเนื้อหนังบริเวณหน้าอก และการนำชุดชั้นในมาใส่ด้านนอก ฯลฯ "งานของฉันคือการประจันหน้ากับสถาบันทางสังคม พยายามค้นหาว่าอิสรภาพของฉันเองอยู่ที่ไหน และทำอย่างไรเพื่อให้ได้มันมา" วิเวียนใช้เสื้อยืดลามกเป็นสื่อ เพื่อค้นหาจุดยืนและอิสรภาพที่คนชนชั้นกรรมาชีพเช่นเธอโหยหา

เสื้อผ้าของวิเวียนหลายชิ้นมักถูกวิจารณ์ว่า "ใส่จริงไม่ได้" ทั้งความแปลกของวัสดุ ลวดลาย สัดส่วนโครงสร้าง และแพตเทิร์นการตัดเย็บ แต่เธอมีมุมมองว่า "เสื้อผ้าของฉันอาจดูนอกลู่นอกทาง เพียงเพราะผู้คนไม่ได้คาดคิด แต่สิ่งที่ฉันทำก็เพื่อประณามความจืดชืดและความน่าเบื่อของแฟชั่นธรรมดาเหล่านั้น"

เทคนิคและคอนเซ็ปต์
ยุค 1980 เป็นช่วงที่วิเวียนได้แหกกฎการตัดเย็บชั้นสูงแบบอังกฤษ ขณะที่การตัดเย็บสไตล์ผู้ดีอังกฤษจะเน้นสัดส่วนที่เท่ากันทั้งสองข้าง แต่สำหรับวิเวียน สูทของเธออาจมีปกข้างหนึ่งใหญ่กว่าอีกข้าง แขนข้างหนึ่งยาวกว่าอีกข้างหรืออาจมีแขนข้างเดียว ชายเสื้อสูทไม่จำเป็นต้องยาวเท่ากัน หรือแขนเสื้อที่มักโค้งมนตรงไหล่ อาจกลายเป็นมีมุมเหลี่ยม แหลมออกมาจนเวลาใส่ต้องพับมุม คอเสื้ออาจกลายเป็นชายกระโปรง ขณะที่ชายเสื้ออาจถูกใส่แทนคอเสื้อ

หลังจากศึกษาประวัติศาสตร์วัฒนธรรมอังกฤษอย่างจริงจัง วิเวียนเริ่มนำภูมิปัญญาแฟชั่นดั้งเดิมมาใช้ เป็นเสมือน "กล้องส่องย้อนอดีตแห่งแฟชั่น" วิเวียนยังสนใจการทำเสื้อผ้าเข้ารูป ด้วยเชื่อว่า "เสื้อผ้าคือการเปลี่ยนรูปทรงของร่างกาย" เธอใช้เทคนิคเพิ่มลดตัดเฉือนเพื่อบิดเบือนข้อเท็จจริงทางสรีระผู้สวมใส่ให้ดูดีแบบอุดมคติ และทำให้สิ่งที่เธอคิดว่า ควรจะเป็นส่วนที่ดึงดูดใจที่สุด คือใบหน้าโดดเด่น

วงการแฟชั่นยังยกย่องวิเวียนเป็น "นักคิดทางแฟชั่น" เธอเป็นดีไซเนอร์คนแรกที่เข้าใจเรื่องแพตเทิร์นในมุมมอง 3 มิติอย่างแท้จริง เช่น การใช้ผ้าสี่เหลี่ยม 2 ผืนวางเหลื่อมเย็บติดกันให้เกิดเหลี่ยมแหลมขึ้น หรือการใช้ผ้าสามเหลี่ยมวางเฉียงเย็บติดกันเพื่อตัดเป็นชุดเข้ารูป หรือกระเป๋าเสื้อที่โค้งรอบตัวเสื้อจนเกิดมูฟเมนต์ทุกครั้งที่ผู้สวมใส่เคลื่อนไหว

Coco Chanel


Coco Chanel หรือชื่อจริง Gabrielle Bonheur ดีไซเนอร์ แฟชั่นโลก ที่ชอบไข่มุก เป็นชีวิตจิตใจ จากแฟ้ม ประวัติดีไซเนอร์ กล่าวว่า เกิดอยู่ที่ Saumur เมื่อปี 1883 แล้วตายเมื่อ 10 มกราคม 1971 อายุได้ 88 ปี โดยเธอ ต้องกำพร้า แม่ เมื่ออายุเพียง 12 ขวบ เธอเป็นผู้ปฏิวัติ วงการแฟชั่น ด้วยการได้พบเห็น แฟชั่นโบราณ แบบเก่าๆของ ผู้หญิง ไฮโซ ใส่หมวกใบใหญ่ๆ เสื้อมีคลุ่ยวุ่นวาย มาเป็นการใส่ชุดแบบ ยูนิฟอร์มสีดำเท่ห์ๆ Coco นั้น เป็นชื่อเล่นของ Gabrielle Bonheur ที่เธอได้มาตอนอายุ 18 ปี จากการร้องเพลง ไม่ใช่ชื่อ แต่อ้อนแต่ออก ชีวิตวัยเด็ก เธอมีความยากลำบาก มากๆแต่ Coco Chanel ได้เปิดร้านเป็นครั้งแรก เมื่อ 1910 ตอนอายุ 27 ปี ในปารีส เริ่มจากการทำชุดนักกีฬาและหมวก ต่อมาปี 1921 เธอได้ออก น้ำหอม Chanel No. 5 ซึ่งมันก็เป็นแค่ กลิ่นของน้ำหอม ตัวอย่างหมายเลข 5 เท่านั้นเอง เบอร์ 5 จึงเป็น lucky number ของเธอ แต่ทุกวันนี้ หลายคนก็ยังนิยมชมชอบ No. 5 อยู่ในปี 1924 Coco Chanel ได้นำดีไซแปลกใหม่ ประมาณว่า เป็นต้มหูไข่มุก ที่ ด้านหนึ่งขาว ด้านหนึ่งดำ เข้ามาสู่สังคมแฟชั่นปารีส
นอกจากนี้ Coco ยังได้นำเอา กระโปรงสั้น เข้ามาในวงการแฟชั่น จนทำให้วงการแฟชั่นช่วงนั้น ต้องเปลี่ยนไปทันที เธอได้เปลี่ยนแปลง หลายสิ่งหลายอย่าง ให้กับวงการแฟชั่นปารีส จริงๆ

วันเสาร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2553

ชารล์ เดอ มองเตสกิเออร์ (Charles de Montesqieu)



ชารล์ เดอ มองเตสกิเออร์ (Charles de Montesqieu)
หรือ ชารล์ หลุยส์ เดอ เซก้องม บารอน เดอ ลา เบร์ด เอ็ท เดอ มองเตสกิเออร์ (Charles Louis de Secondat, baron de la Brede et de Montesquieu)
เกิด: ใกล้ บอกด์โดซ์ ในปี ค.ศ. 1689
เสียชีวิต: ปารีส ในปี ค.ศ. 1755

มองเตสกิเออร์เป็นหนึ่งในบรรดาตัวแทนที่ทรงอิทธิพลและเป็นที่รู้จักในยุคภูมิธรรมในฝรั่งเศส ความสนใจในศาสตร์ต่างอันหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น ประวัติศาสตร์ ปรัชญา กฎหมาย และการเมือง ส่งผลให้เขาโลดแล่นอยู่บนเส้นทางอาชีพอันโดดเด่น ไม่ว่าจะเป็นผู้พิพากษา นักการเมือง นักประพันธ์รวมทั้งนักคิดทางการเมือง ในฐานะนักวิชาการผู้ประสบความสำเร็จในประวัติศาสตร์การเมืองโบราณ เขาได้ประพันธ์งานเรื่อง “The Guardeur and Decadence of Romans” (1734) ในขณะเดินทางอย่างต่อเนื่องเพื่อศึกษาการพัฒนาทางการเมืองของยุโรป หลังจากพำนักอยู่ในอังกฤษเป็นเวลา 2 ปี และเป็นที่ชื่อชมของจอห์น ล็อค (John Lock) และรัฐสภาอังกฤษ มองเตสกิเออร์ได้ประพันธ์งานที่โด่งดังไปทั่วเรื่อง “The Spirits of the Laws” ซึ่งเป็นหนังสือที่เป็นที่กล่าวขวัญทั่วยุโรปหลังจากได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ในปี ค.ศ. 1748 เป็นช่วงเวลาที่เขาได้สร้างสิ่งที่เป็นที่รู้จักในปัจจุบันนี้ กล่าวคือ ทฤษฎีแบ่งแยกอำนาจในระบอบการปกครองที่เสรีและใช้ได้จริง หากปราศจากการการคานอำนาจกันระหว่างอำนาจนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการก็จะไม่เกิดเสรีภาพและการป้องกันการใช้อำนาจในทางที่ผิด พื้นฐานแนวคิดดังกล่าวกลายเป็นต้นแบบของแนวคิดประชาธิปไตยเสรีที่นำมาใช้ในประเทศที่มีอารยะทั่วโลก แม้ว่าระบอบเผด็จการยังอยู่รอดอย่างดีมาด้วยก็ตาม

ความสนใจในแนวคิดเสรีนิยมโดยเฉพาะเป็นเครื่องเน้นย้ำให้เห็นถึงเสรีภาพทางการเมือง หลายคนมองว่าผลงานเรื่อง“Spirit of the Laws” ของเขานั้นเป็นการเริ่มต้นอย่างชาญฉลาดของแนวคิดการเมืองเสรีนิยมและให้ความสำคัญกับอิทธิพลของมองเตสกิเออร์ที่มีต่อหลักการของการตรวจสอบและคานอำนาจในรัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกา

มองเตสกิเออร์กล่าวไว้อย่างน่าเชื่อถือว่าการมองอำนาจทางการเมืองจากความเป็นจริงว่ามีแนวโน้มที่จะนำไปใช้ในทางที่ผิดจากผู้มีอำนาจในมือทำให้เกิดการลดการตัดสินใจและการเพิ่มเติมระเบียบของกฎหมายที่ไม่สามารถอธิบายได้ ไม่เพียงในด้านความปลอดภัยส่วนตัวและพลประโยชน์ของพลเมืองเท่านั้น แต่รวมถึงผลประโยชน์และข้อได้เปรียบจากการแข่งขันที่มีต่อรัฐด้วย

มองเตสกิเออร์กล่าวไว้อย่างน่าเชื่อถือว่าการมองอำนาจทางการเมืองจากความเป็นจริงว่ามีแนวโน้มที่จะนำไปใช้ในทางที่ผิดจากผู้มีอำนาจในมือทำให้เกิดการลดการตัดสินใจและการเพิ่มเติมระเบียบของกฎหมายที่ไม่สามารถอธิบายได้ ไม่เพียงในด้านความปลอดภัยส่วนตัวและพลประโยชน์ของพลเมืองเท่านั้น แต่รวมถึงผลประโยชน์และข้อได้เปรียบจากการแข่งขันที่มีต่อรัฐด้วย

มองเตสกิเออร์ยังเป็นต้นแบบในเศรษฐศาสตร์การเมืองจากการศึกษาความแตกต่างของการพัฒนาเศรษฐกิจของยุโรปและเอเชียรวมทั้งให้ความสำคัญกับการแข็งขันในตลาดเสรีเพื่อกำหนดราคาที่ถูกต้องให้แก่สินค้า

สัญญาประชาคม


*รุสโซ่*
“สัญญาประชาคม” เป็นหนึ่งในวิธีการอธิบายว่าทำไมมนุษย์ถึงต้องมาอยู่ร่วมกันเป็น “รัฐ” (ในงานจะใช้คำว่า คอมมอนเวลท์) โดยหลักแล้ว ในหลักการนี้จะอธิบายว่า เพราะมนุษย์ทำความตกลงกัน ว่าจะอยู่ร่วมกัน รัฐ(คอมมอนเวลท์) การปกครอง ผู้ปกครอง และกฎหมายจึงเกิดขึ้น

ธรรมชาติของมนุษย์และโลกก่อนมีสัญญาประชาคม

มนุษย์มีเหตุผล มีสิทธิ์ในทรัพย์สิน ทว่าสิทธิ์นั้นถูกจำกัดโดยความแข็งแรง คนที่แข็งแรงอาจจะแย่งทรัพย์สินจากคนอ่อนแอ

ทำไมต้องทำสัญญาประชาคม?

มนุษย์สละเสรีภาพตามธรรมชาติมาตกลงกันให้เกิดเสรีภาพของพลเมือง ซึ่งเสรีภาพของพลเมืองขึ้นอยู่กับเจตจำนงสากล มนุษย์สละเสรีภาพตามธรรมชาติให้กับคนอื่นในสังคมพร้อมๆ กัน ไม่ใช่ให้ใครคนใดคนหนึ่งจึงไม่เสียเปรียบ

ใครคือผู้มีอำนาจอธิปไตย

เจตจำนงสากล ซึ่งหมายถึงสิ่งที่ทุกคนเห็นตรงกัน ไม่ใช่เสียงส่วนใหญ่ แต่เป็นสิ่งที่เสียงทั้งหมดเห็นด้วย


สภาพสังคมหลังทำสัญญาประชาคม

มนุษย์อยู่ร่วมกันโดยเป็นไปตามเจตจำนงสากล


การเรียกอำนาจคืนจากผู้มีอำนาจอธิปไตย

อำนาจอธิปไตยไม่ได้ยกให้ใคร เพราะมันโอนให้กันไม่ได้ มันเป็นของทุกคนอยู่แล้ว

สัญญาประชาคม


จอห์น ล็อก*

สัญญาประชาคม” เป็นหนึ่งในวิธีการอธิบายว่าทำไมมนุษย์ถึงต้องมาอยู่ร่วมกันเป็น “รัฐ” (ในงานจะใช้คำว่า คอมมอนเวลท์) โดยหลักแล้ว ในหลักการนี้จะอธิบายว่า เพราะมนุษย์ทำความตกลงกัน ว่าจะอยู่ร่วมกัน รัฐ(คอมมอนเวลท์) การปกครอง ผู้ปกครอง และกฎหมายจึงเกิดขึ้น

ธรรมชาติของมนุษย์และโลกก่อนมีสัญญาประชาคม

มนุษย์เป็นคนดี มีเหตุผล มีเสรีภาพเต็มที่ และมีสิทธิ์ในทรัพย์สินของตน เมื่อทรัพย์สินนั้นเกิดจากแรงงานของเขา

ทำไมต้องทำสัญญาประชาคม?

เพราะเมื่อเกิดข้อพิพาทจะไม่มีใครตัดสินถูกผิดได้ เพราะทุกคนมีเหตุผลของตน เมื่อแย่งทรัพย์สินจะไม่มีใครบอกได้ว่าใครถูกใครผิด มนุษย์จึงไม่อาจรักษาทรัพย์สินของตัวเองไว้ได้ จึงต้องทำสัญญากัน ตั้งกฎหมาย ตั้งผู้ตัดสิน เพื่อรักษาทรัพย์สินของตัวเอง

ใครคือผู้มีอำนาจอธิปไตย

อำนาจอธิปไตยเกิดจากเสียงส่วนใหญ่ การออกกฎหมายเปิดจากการเห็นพ้องต้องกัน ดังนั้นทุกคนจึงยอมรับกฎหมาย รัฐเป็หน่วยเดียวที่เคลื่อนไหวตามความคิดของเสียงส่วนใหญ่ เสียงส่วนใหญ่อาจจะยกให้ใครเป็นผู้ปกครองได้ แต่ก็เรียกอำนาจคืนได้เช่นกัน

สภาพสังคมหลังทำสัญญาประชาคม

เกิดสังคมที่เป็นหน่วยเดียวกัน ในข้อตกลงเดียวกัน ภายใต้การตัดสินโดยเสียงส่วนใหญ่ เพื่อรักษาสิทธิและเสรีภาพ เพื่อความสะดวก ปลอดภัยของทุกคน

การเรียกอำนาจคืนจากผู้มีอำนาจอธิปไตย

ทำได้เมื่อเสียงส่วนใหญ่ต้องการ

สัญญาประชาคม



โทมัส ฮอบส์*
“สัญญาประชาคม” เป็นหนึ่งในวิธีการอธิบายว่าทำไมมนุษย์ถึงต้องมาอยู่ร่วมกันเป็น “รัฐ” (ในงานจะใช้คำว่า คอมมอนเวลท์) โดยหลักแล้ว ในหลักการนี้จะอธิบายว่า เพราะมนุษย์ทำความตกลงกัน ว่าจะอยู่ร่วมกัน รัฐ(คอมมอนเวลท์) การปกครอง ผู้ปกครอง และกฎหมายจึงเกิดขึ้น

ธรรมชาติของมนุษย์และโลกก่อนมีสัญญาประชาคม

ในแนวคิดของฮอปมนุษย์นั้นเลวร้าย เห็นแก่ตัว และอ่อนแอ มนุษย์ทุกคนทีความเท่าเทียมกัน มีสิทธิ์ในการทำทุกอย่างแม้แต่ฆ่าผู้อื่น ใครจะฆ่าใครก็ได้ ดังนั้นโลกก่อนมีสัญญาประชมคมจึงมีแต่ความหวาดระแวง เป็นสภาพที่ทุกคนอยู่ในสงครามระหว่างกันและกัน ไม่มีความปลอดภัย

ทำไมต้องทำสัญญาประชาคม?

เพราะมนุษย์นั้นกลัวตาย มนุษย์จึงต้องมาตกลงกันว่าจะอยู่ด้วยกัน และสร้างความไม่เท่าเทียมขึ้น มนุษย์ยกอำนาจที่มีให้แก่คนคนหนึ่ง ซึ่งเป็นองค์รัฐาธิปัตย์ (ผู้มีอำนาจสูงสุดของรัฐ) และยอมอยู่ใต้การปกครองของเขา

ใครคือผู้มีอำนาจอธิปไตย?

องค์รัฐาธิปัตย์แต่เพียงผู้เดียว จะมีใครมีอำนาจเทียบเท่าไม่ได้

สภาพสังคมหลังทำสัญญาประชาคม

มนุษย์พ้นจากสภาพสงครามระหว่างกันและกันเพราะอยู่ใต้กฎหมายขององค์รัฐาธิปัตย์


การเรียกอำนาจคืนจากผู้มีอำนาจอธิปไตย

มนุษย์ไม่มีสิทธิเรียกอำนาจคืน จะทำอะไรองค์รัฐาธิปัตย์ไม่ได้เพราะไม่อย่างนั้นจะกลับไปเป็นสภาพสงคราม มนุษย์ยังเหลือสิทธิ์เดียวคือสิทธิ์ในชีวิตเท่านั้น องค์รัฐาธิปัตย์จะเอาชีวิตไปไม่ได้เพราะผิดข้อตกลง

วันจันทร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2553

^_^...Foie gras .....อาหารฝรั่งเศส




ฟัวกราส์(ฝรั่งเศส: Foie gras [fwɑ gʁɑ]) แปลเทียบเคียงว่า fat liver คือตับห่านหรือเป็ดที่ถูกเลี้ยงให้อ้วนเกิน ฟัวกราส์ได้ชื่อว่าเป็นอาหารฝรั่งเศสที่ดีที่สุด เช่นเดียวกับทรัฟเฟิล มีลักษณะนุ่มมันและมีรสชาติที่แตกต่างจากตับของเป็ดหรือห่านธรรมดา

ใน พ.ศ. 2548 ทั่วโลกมีการผลิตฟัวกราส์ประมาณ 23,500 ตัน ในจำนวนนี้ ประเทศฝรั่งเศสเป็นผู้ผลิตมากที่สุดคือ 18,450 ตัน หรือร้อยละ 75 ของทั้งหมด โดยร้อยละ 96 ของฟัวกราจากฝรั่งเศสมาจากตับเป็ด และร้อยละ 4 มาจากตับห่าน ประเทศฝรั่งเศสบริโภคฟัวกราส์ใน พ.ศ. 2548 เป็นจำนวน 19,000 ตัน[1]

ประเทศฮังการีผลิตฟัวกรามากเป็นอันดับสอง และส่งออกมากเป็นอันดับหนึ่ง คือ 1,920 ตันใน พ.ศ. 2548 โดยเกือบทั้งหมดส่งออกไปที่ฝรั่งเศส


การป้อนอาหาร ในการผลิตฟัวกราส์ (เรียกขั้นตอนนี้ว่า gavage)
ฟัวกราส์ เทียบกับตับห่านปกติองค์การสิทธิสัตว์ทุกแห่ง และองค์การความเป็นอยู่สัตว์เกือบทุกแห่ง ถือว่าขั้นตอนการผลิตฟัวกราส์นั้นโหดร้าย เนื่องจากการบังคับป้อนอาหาร และผลกระทบต่อสุขภาพจากตับที่ใหญ่ขึ้น

การผลิตฟัวกราส์นั้นผิดกฎหมายในหลายพื้นที่ (แต่การจำหน่ายฟัวกราส์ที่ผลิตจากที่อื่นนั้นไม่จำเป็นว่าต้องผิดกฎหมาย) ได้แก่

-นอร์เวย์
-เนเธอร์แลนด์
-เดนมาร์ก
-โปแลนด์ (เคยเป็นผู้ผลิตอันดับ 5 ของโลก เมื่อ พ.ศ. 2542)
-ฟินแลนด์
-เยอรมนี
-ลักเซมเบิร์ก
-สวิตเซอร์แลนด์
-สวีเดน
-สหรัฐอเมริกา: เมืองชิคาโก มลรัฐแคลิฟอร์เนีย (เริ่ม พ.ศ. 2555)
-สหราชอาณาจักร
-สาธารณรัฐเช็ก
-ออสเตรีย (6 ใน 9 รัฐ)
-อาร์เจนตินา
-อิตาลี
-อิสราเอล
-ไอร์แลนด์

"ปาเต"อาหารฝรั่งเศส



ปาเต (ฝรั่งเศส: pâté) เป็นอาหารยุโรปประเภทหนึ่ง ในภาษาฝรั่งเศสหมายถึงเนื้อบดผสมไขมัน ปาเตโดยทั่วไปมีลักษณะเป็นซอสสำหรับทา ทำจากเนื้อบดละเอียดหรือส่วนผสมของเนื้อและตับบดหยาบ ๆ และมักผสมไขมัน ผัก สมุนไพร เครื่องเทศ หรือไวน์ เป็นต้น

ในประเทศฝรั่งเศสและประเทศเบลเยียม ปาเตอาจใช้เป็นไส้พายหรือขนมปังแถว เรียก "ปาเตอ็องกรูต" (ฝรั่งเศส: pâté en croûte) หรือใช้อบด้วยแตร์รีนหรือแม่พิมพ์แบบอื่น เรียก "ปาเตอ็องแตร์รีน" (ฝรั่งเศส: pâté en terrine) ปาเตประเภทที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ "ปาเตเดอฟัวกราส์" (ฝรั่งเศส: pâté de foie gras) ทำจากตับของห่านที่ขุนจนอ้วน คำว่า "ฟัวกราส์อองตีเยร์" (ฝรั่งเศส: foie gras entier) หมายถึง ตับห่านธรรมดาที่ได้รับการปรุงสุกและหั่นเป็นแผ่น ไม่ใช่ปาเต

ส่วนในประเทศฮอลแลนด์ ประเทศเยอรมนี ประเทศฟินแลนด์ ประเทศฮังการี ประเทศสวีเดน และประเทศออสเตรีย ปาเตที่ทำจากตับบางชนิดจะมีลักษณะอ่อนยวบ โดยมากเป็นไส้กรอกที่ใช้ทาได้ ภาษาดัตช์เรียก "leverworst" ภาษาเยอรมันเรียก "leberwurst" ส่วนในประเทศอเมริกาเรียก "ลีเวอร์วูสต์" (liverwurst) หรือ "โบรนชวีเจอร์" (braunschweiger) ลีเวอร์วูสต์บางชนิดหั่นได้ ซึ่งในอเมริกานิยมใช้รับประทานคู่กับแซนด์วิช

^^+Ratatouille++


ราตาตุย (ฝรั่งเศส: Ratatouille, ออกเสียง: [ʁatatuj]; ออกเสียงอังกฤษ: /rætəˈtuːiː/, /-ˈtwiː/ - แรททะทูอี, แรททะทฺวี) เป็นอาหารพื้นเมืองของทางตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศส โดยมีลักษณะเป็นสตูว์ผัก มีต้นกำเนิดมาจากเมืองนีซ อาหารชนิดนี้มีชื่อเต็มว่า ราตาตุยนีซวส (ratatouille niçoise)[1]

รูปแบบของอาหาร
คำว่า ratatouille มาจากคำในภาษาอ็อกซิตันว่า "ratatolha" ราตาตุยปัจจุบันพบเห็นได้ในภูมิภาคโปรวองซ์และเมืองนีซ มักจะทำในหน้าร้อนโดยใช้ผักในฤดูร้อน ratatolha สูตรดั้งเดิมจากเมืองนีซนั้นจะใช้เพียงแค่ซุกกีนี มะเขือเทศ พริกหยวกแดงและเขียว หัวหอม และกระเทียม แต่ราตาตุยในปัจจุบันจะมีการใส่มะเขือลงไปในส่วนผสมด้วย

ปกติราตาตุยจะเสิร์ฟเป็นอาหารข้างเคียงกับอาหารหลัก หรือบางครั้งก็เสิร์ฟเป็นอาหารหลักบนโต๊ะอาหาร

วันพฤหัสบดีที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2553

++"Fondue"++





ฟองดูว์ (Fondue) ได้ชื่อว่าเป็นอาหารสุดยอดของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เรียกได้ว่า ถ้าเอ่ยถึงอาหารประเภทนี้ ก็ต้องรู้ว่าเป็นอาหารที่มีต้นกำเนิดในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ แต่ความจริงแล้วคุณรู้หรือไม่ คำว่า 'fondue' ของสวิสกลับมาจากคำกริยาของภาษาฝรั่งเศสที่ว่า Fondre (ฟองเดรอ) ซึ่งแปลว่า 'หลอมละลาย' ฟองดูว์เป็นวิธีการนำ เนยแข็ง (Cheese) มารับประทานวิธีหนึ่งของชาวสวิส เนื่องจากเนยแข็งตามแบบฉบับดั้งเดิมของยุโรปได้ชื่อว่ามีความแข็งมากจริงๆ ชาวสวิสนำเศษเนยแข็งที่เหลือๆ มาตั้งไฟให้หลอมละลาย เติมไวน์ขาว คนให้เข้ากัน แล้วจึงใช้ส้อมหรือเหล็กแหลมเสียบขนมปังลงไปจุ่มชีสที่หลอมละลายได้ที่จนทั่ว แล้วเอาเข้าปาก กินร้อนๆ เรียกว่า ชีสฟองดูว์ (Cheese Fondue) เป็นอาหารที่ให้พลังงานและแคลอรีสูง เพื่อนำมาเผาผลาญสร้างความอบอุ่นให้กับร่างกาย ต่อมาความนิยมของอาหารประเภทนี้ของชาวสวิสได้แพร่หลายเข้าไปในประเทศฝรั่งเศส ชาวฝรั่งเศสก็ได้ประยุกต์การกินชีสฟองดูว์ของชาวสวิสมาเป็น ฟองดูว์เนื้อ เรียกว่า ฟองดูว์ บูร์กีญอง (Fondue bourguignonne) เป็นการนำเนื้อวัวที่หั่นเป็นก้อนสี่เหลี่ยมขนาดพอคำ จิ้มจุ่มลงในหม้อน้ำมันพืชร้อนๆ (เหมือนกับการทอดแบบน้ำมันท่วมๆ) แล้วจิ้มกินกับซอสนานาชนิด จากจุดนี้เองก็ทำให้ฟองดูว์กลายเป็นอาหารที่มีชื่อเสียงขึ้นมา และคุณรู้หรือไม่ ฟองดูว์เคยเป็นอาหารที่พุ่งขึ้นสู่ความนิยมสูงสุดสำหรับงานเลี้ยงสังสรรค์มื้อค่ำระหว่างปีคริสต์ศตวรรษห้าศูนย์ถึงเจ็ดศูนย์ในยุโรป


จุดเริ่มต้นฟองดูว์


ในหมู่บ้านที่ห่างไกลและแยกตัวออกไปตั้งอยู่ตามเทือกเขาแอลป์ (Alps) ของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ผู้คนในหมู่บ้านต้องพึ่งพาอาหารที่หาได้และผลิตขึ้นในท้องถิ่น ยิ่งในระหว่างช่วงฤดูหนาว พืชพันธุ์และอาหารที่มีความสดยิ่งหามาทำอาหารได้ยาก และแล้วชาวสวิสซึ่งอาศัยอยู่ตามเทือกเขาแอลป์ก็ได้ค้นพบว่า พวกเขาสามารถนำชีสที่เก็บไว้นานแล้วมาทำเป็นอาหารที่ยอดเยี่ยมให้คนในครอบครัวได้รับประทานกัน พวกเขานำเศษชีสมาทำให้ละลายด้วยความร้อน เติมไวน์ในท้องถิ่น และปรุงรสอีกนิดหน่อย ทำให้ได้ชีสที่มีลักษณะเหมือนครีมข้น จากนั้นก็ใช้ขนมปังจิ้มรับประทานอย่างเอร็ดอร่อย และเรียกอาหารประเภทนี้ว่า ฟองดูว์ ฟองดูว์หรือชีสฟองดูว์นี้เมื่อรับประทานร่วมกับขนมปังเก่าหรือขนมปังที่เก็บมานาน ก็ช่วยให้ขนมปังเหล่านั้นมีรสชาติน่ารับประทานขึ้นอีกด้วย ช่วยให้มีอาหารดีๆ รับประทานไปตลอดช่วงฤดูหนาว บางครอบครัวก็ใช้มันฝรั่งและผลไม้กินกับฟองดูว์แทนขนมปัง ถือได้ว่าฟองดูว์เป็นอาหารชั้นเลิศที่คิดค้นขึ้นโดยชาวไร่ชาวนาสวิส

ชีสฟองดูว์ต้นตำรับ

ปัจจุบันชีสฟองดูว์มีให้รับประทานในหลายประเทศ แต่ชีสฟองดูว์ต้นตำรับสวิสได้รับการบันทึกไว้ว่าปรุงขึ้น จากส่วนผสมระหว่าง อังเมตาลชีส (emmenthaler cheese) ชีสสีเหลืองที่มีความแข็งปานกลาง รสจัด ตัวชีสมีรูเป็นเอกลักษณ์เด่น ผลิตขึ้นโดยชุมชนในหุบเขาอังเม (Emme) เขตปกครองเล็กๆ ของกรุงเบิร์น และ คูรแยร์ชีส (gruyere cheese) ทำจากนมวัว เป็นชีสที่มีความแข็ง แต่ได้รับการยกให้เป็นหนึ่งในชีสที่ดีที่สุดสำหรับการนำมาทำอาหาร ตั้งชื่อตามชื่อเมืองในสวิสที่เป็นต้นกำเนิดการทำชีสชนิดนี้ จากนั้นก็มีผู้ดัดแปลงสูตรชีสฟองดูว์แตกต่างกันไป บางสูตรมีการเติมแป้งข้าวโพด กระเทียม และชีสต่างชนิดกันไปตามแต่ความนิยมในพื้นที่นั้นๆ เช่น ชีสฟองดูว์ในฝรั่งเศสใช้ชีส ก็องเต (comte cheese) ชีสฝรั่งเศสที่มียอดขายราวสี่หมื่นตันต่อปี ผสมกับ โบฟอร์ (beaufort cheese) และอังเมตาล ในขณะที่ชีสฟองดูว์สไตล์อิตาเลียนมีส่วนผสมระหว่างชีสฟอนทีน่า (fontina cheese) นม ไข่ไก่ และเห็ดทรัฟเฟิล (truffle)

ความหลากหลายของฟองดูว์

นอกจากชีสฟองดูว์ คุณรู้หรือไม่ชาวสวิสยังประยุกต์ฟองดูว์ออกเป็นอีกหลายสูตร แต่ละสูตรก็มีวิธีรับประทานแตกต่างกันไป ซึ่งคุณ บรรพต นิธากร ทายาทเจ้าของโรงแรมคลาสสิค เพลส กรุงเทพฯ (Classic Place Hotel Bangkok) หลังจากมีโอกาสได้ศึกษาต่อยังประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ก็ได้นำวัฒนธรรมการรับประทานอาหารประเภทฟองดูว์ที่มีความหลากหลายของสวิส กลับมาเปิดบริการที่ห้องอาหาร เดอะ เพลส คอฟฟี่ช็อป แอนด์ ไฟน์ ไดนิ่ง (The Place Coffee Shop & Fine Dining) ที่ห้องอาหารแห่งนี้นอกจากนักชิมชาวไทยจะได้มีโอกาสลิ้มลอง ชีสฟองดูว์ สูตรต้นตำรับสวิสซึ่งมีกลิ่นชีสและรสชาติเฉพาะตัว ยังจะมีโอกาสได้ชิม ฟองดูว์ บูร์กีญอง เนื้อวัวอย่างดีหั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าพอดีคำ ใช้ส้อมฟองดูว์จิ้มแล้วนำลงทอดในหม้อฟองดูว์ที่ใส่น้ำมันพืช เสิร์ฟพร้อมสลัดผักและชุดซอส 4 แบบด้วยกัน คือ ทาวซันไอส์แลนด์ ทาทาซอส ซอสมะเขือเทศผสมทาบัสโก้ และน้ำจิ้มแจ่วแบบไทยๆ ความอร่อยของ ฟองดูว์ บูร์กีญอง คล้ายกับการรับประทานสเต๊กเนื้อวัวที่คนชิมสามารถควบคุมเองได้ว่าต้องการให้เนื้อสุกแค่ไหน

ความหลากหลายของฟองดูว์ในสวิตเซอร์แลนด์ยังทำให้เกิดฟองดูว์ที่เรียกว่า ฟองดูว์ ชินัวร์ (Fondue Chinoise) หรือฟองดูว์น้ำซุปจีน ฟองดูว์สูตรนี้แทนที่จะมีชีสในหม้อกลับเป็นน้ำซุปผักแบบจีน พ่อครัวชาวสวิสนำพืชท้องถิ่น ผักและสมุนไพรเอเชียหลายชนิดมาอบแห้ง เช่น พาร์สเลย์ แครอท หัวหอมใหญ่ ผักชี เห็ดหูหนู กระเทียม บรรจุใส่ซองแล้วพิมพ์คำว่า Fondue Chinoise ประทับลงบนซองให้รู้ว่าเครื่องปรุงในซองนี้สำหรับทำฟองดูว์ชินัวร์โดยเฉพาะ วิธีรับประทานฟองดูว์ชินัวร์คือ ใส่น้ำลงในหม้อฟองดูว์ ยกขึ้นตั้งเตาบนโต๊ะอาหาร ฉีกซองเครื่องปรุงแล้วเทลงในหม้อฟองดูว์ทำเป็นน้ำซุป เมื่อน้ำซุปเดือด ก็ใช้ส้อมฟองดูว์จิ้มเนื้อสัตว์ต่างๆ ลงลวกในน้ำซุปร้อนๆ สามารถเลือกรับประทานได้ทั้งเนื้อวัว เนื้อไก่ เนื้อหมู หรืออาหารทะเล เสิร์ฟพร้อมผักสดและบะหมี่ซึ่งนิยมรับประทานกับน้ำซุปตอนสุดท้าย แต่ถ้าเป็นชาวญี่ปุ่นจะนิยมสั่งข้าวสวยและไข่ไก่มาเทใส่รวมกันในหม้อน้ำซุปตอนสุดท้าย แล้วตักรับประทานเป็นการปิดท้ายอาหารมื้อนั้น

ส่วนฟองดูว์ประเภทของหวาน (Dessert Fondue) ที่เป็นเอกลักษณ์ของฟองดูว์สวิสก็คือ ฟองดูว์ ช็อกโกแลต เริ่มปรากฏขึ้นครั้งแรกในช่วงทศวรรษของปี ค.ศ.1960 นี่เอง โดยการนำช็อกโกแลตมาละลายแล้วใช้ผลไม้สดจิ้มรับประทาน วิรัตน์ เนตรวงษ์ เชฟผู้เชี่ยวชาญด้านขนมอบ (Pastry Chef) โรงแรมคลาสสิค เพลส กรุงเทพฯ อธิบายขั้นตอนการทำฟองดูว์ช็อกโกแลตว่า เริ่มต้นด้วยการนำช็อกโกแลตสวิส (ยี่ห้อ Lindt) สำหรับทำฟองดูว์โดยเฉพาะ มาหั่นให้เป็นฝอย ประมาณ 1 กิโลกรัม จากนั้นต้มนมสด 250 กรัมผสมวิปปิ้งครีม 200 กรัมให้เดือด แล้วเทใส่ลงในช็อกโกแลตหั่นฝอยที่เตรียมไว้ คนให้เข้ากันจนเป็นเนื้อครีม เทใส่ในภาชนะที่สวยงาม จิ้มรับประทานด้วยผลไม้สด เช่น สตรอว์เบอร์รี กล้วยหอม แอปเปิลเขียว หรือขนมอย่างมาร์ชแมลโลว์ (marshmallow)

การรับประทานอาหารประเภทฟองดูว์นิยมรับประทานกันเป็นกลุ่มเล็กๆ ตั้งแต่สองคนขึ้นไปจนถึง 6 คน มีให้เลือกรับประทานได้ทั้งแบบมื้ออาหารและแบบของหวานก็ได้ วิธีรับประทานก็ง่ายๆ แค่ยกส้อมฟองดูว์ขึ้นจิ้มอาหาร แล้วจุ่มและวนส้อมไปมาในหม้อฟองดูว์ก็ช่วยให้เป็นมื้อที่เพลิดเพลินในหมู่เพื่อนสนิทหรือครอบครัวได้เหมือนกัน

"บึงกาฬ " จังหวัดที่ 77 ของประเทศไทย



จังหวัดบึงกาฬ เป็นจังหวัดที่มีการร้องขอให้จัดตั้งขึ้น เมื่อปี พ.ศ. 2537แต่ไม่ผ่านกระบวนการพิจารณาในขณะนั้น และได้มีการนำสู่กระบวนการพิจารณาอีกครั้ง โดยผ่านมติเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี ในวันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2553 โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา และคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อนำทูลเกล้าฯ เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย และประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยจะต้องออกเป็นพระราชบัญญัติการจัดตั้งจึงจะมีผลโดยสมบูรณ์
การร้องขอจัดตั้งถูกขอตามข้อเสนอของนายสุเมธ พรมพันห่าว สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคเสรีธรรม จังหวัดหนองคาย โดยแยกพื้นที่อำเภอบึงกาฬ อำเภอปากคาด อำเภอโซ่พิสัย อำเภอพรเจริญ อำเภอเซกา อำเภอบึงโขงหลง อำเภอศรีวิไล และอำเภอบุ่งคล้า ออกจากจังหวัดหนองคาย

จังหวัดบึงกาฬที่เสนอให้จัดตั้งมีพื้นที่ทั้งหมด 4,305 ตร.กม. จากการสำรวจความเห็นของประชาชนจังหวัดหนองคาย ปรากฏว่าประชาชนเห็นด้วยกับการจัดตั้งจังหวัดบึงกาฬ ร้อยละ 98.83 หากมีการจัดตั้งจังหวัดบึงกาฬ จะมีประชากรประมาณ 390,000 คน ประกอบด้วย 8 อำเภอ
สภาพทั่วไป
ปัจจุบันบึงกาฬเป็นอำเภอที่มีสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่ง มีน้ำตก มีภูเขา เป็นอำเภอที่มีเขตพื้นที่ติดต่อกับแม่น้ำโขง และแขวงบริคำไชย สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
เมื่อปี พ.ศ. 2537 กระทรวงมหาดไทย ได้แจ้งผลการพิจารณาว่ายังไม่มีแผนที่จะยกฐานะอำเภอบึงกาฬขึ้นเป็นจังหวัด เพราะการจัดตั้งจังหวัดใหม่เป็นการเพิ่มภาระด้านงบประมาณ อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มกำลังคนภาครัฐซึ่งขัดมติคณะรัฐมนตรี[3]
ต่อมาในปี พ.ศ. 2553 กระทรวงมหาดไทย ได้นำเรื่องการจัดตั้งจังหวัดบึงกาฬ เข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เพื่อเสนอเป็นร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งจังหวัดบึงกาฬ ต่อมาในวันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2553 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการจัดตั้งจังหวัดบึงกาฬ

วันพุธที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2553

อันตรายจากคอนแทคเลนส์ big eyes





คอนแทคเลนส์เมื่อก่อนเป็นอุปกรณ์ที่ใช้เพื่อปรับสายตาสำหรับผู้ที่สายตามีปัญหาเท่านั้น แต่ในปัจจุบันคอนแทคเลนส์กลายเป็นเรื่องแฟชั่นที่นิยมมากในหมู่วัยรุ่น มีหลายประเภททั้งบิ๊กอายส์ที่ทำให้ดวงตากลมโต หรือคอนแท็กต์เลนส์หลากสีสันเพื่อเปลี่ยนสีตา มีหลายราคาให้เลือกตั้งแต่หลักร้อยไปนถึงหลักพัน หาซื้อได้ง่ายตามแผงลอยแหล่งแฟชั่นทั่วไป หรือแม้กระทั่งสั่งซื้อทางอินเตอร์เน็ต

ความจริงแล้วเป็นเรื่องอันตรายมาก ที่ถูกควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจสภาพสายตาว่ามีปัญหาเพียงใด ไม่ควรหามาใส่เอง แพทย์เตือนคนสายตาปกติว่าไม่ควรใช้คอนแทคเลนส์ไม่ว่าด้วยจุดประสงค์ใดก็ตามควรคำนึงว่า คอนแทคเลนส์นั้นต้องสัมผัสกับดวงตาของเราโดยตรง ดวงตาเป็นส่วนที่บอบบางมาก อาจทำให้เกิดปัญหาเคืองตา คันตา เกิดรอยแผล อาจถึงขั้นติดเชื้อหากไม่รักษาความสะอาดดีพอ หรืออาจสูญเสียกระจกตาถาวรเลยก็เป็นได้

การรักษาความสะอาดก็สำคัญ ต้องถอดล้างทำความสะอาดอย่างดีรวมถึงต้องล้างมือให้สะอาดและเช็ดให้แห้งก่อนสัมผัสเลนส์ ภาชนะที่เก็บเลนส์ต้องสะอาดอยู่เสมอเปลี่ยนเลนส์ตามระยะที่กำหนด และห้ามใส่คอนแทคเลนส์นอน แม้ผู้ผลิตจะบอกว่าใสได้นานต่อเนื่องก็ตามและที่สำคัญห้ามใช้คอนแท็กต์เลนส์ร่วมกับผู้อื่น หากเกิดปัญหาค่ารักษาตาแพงกว่าราคาเลนส์หลายเท่านัก แลกกับความสวยงามเพียงชั่วครู่ เสี่ยงกับการสูญเสียดวงตาถาวร มันไม่คุ้ม

“อิน –จัน แฝดสยามคู่แรกของโลก ”




อิน-จันแฝดสยามมีตัวหน้าอกติดกัน ซึ่งในขณะนั้นถือได้ว่าเป็นบุคคลประหลาดที่ยังไม่เคยมีมาก่อน เพราะส่วนใหญ่เด็กที่เกิดขึ้นในลักษณะนี้มักเสียชีวิตหรืออยู่ได้ไม่นานจึง เป็นเรื่องที่ผู้คนต้องให้ความสนใจ โชคดีที่มีฝรั่ง 2 คนเกิดความสนใจที่จะเอาอิน-จันไปแสดงในต่างประเทศ ทำให้ทั้งสองได้เห็นโลกอันกว้างใหญ่ และได้เรียนรู้ภาษาอังกฤษจนสามารถติดต่อพูดคุยกับชาวโลกอื่น ๆ ได้ จนประสบความส าเร็จมีเงินร่ ารวยจนซื้อที่ตั้งรกรากท าไร่ในสหรัฐฯถึงเกือบ 400 ไร่และแต่งงานกับสาวอเมริกันมีลูกสืบเชื้อสายต่อมาอีกมากมาย ชีวิตของ บุคคลทั้งสองนั้นมีเรื่องราวที่น่าศึกษาเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากจะเป็นเรื่องที่สามารถรอดชีวิตมาได้แล้ว ก็ยัง สามารถท ากิจกรรมต่าง ๆ มากมายเยี่ยงคนสามัญทั้งหลาย จนถึงขนาดมีภรรยาเหมือนเช่นคนปกติและก็ไปไหนมาไหนด้วยกันทั้งสองคน แม้กระทั่งคนใดคนหนึ่งจะหลับนอนกับภรรยาก็จะมีอีกคนหนึ่งติดไปด้วยเสมอ โดย ที่ทั้งสองต่างมีความรู้สึกนึกคิดเป็นคนละคนและมีอุปนิสัยที่แตกต่างกัน แต่ก็ต้องมีตัวที่ติดกันตลอดวันตลอดคืน หากเป็นคนทั่วไปคงยากที่จะรับได้ แต่สำหรับ อิน –จัน เขาทั้งสองต้องรับรู้ซึ่งกันและกันมาเป็นเวลาถึง 62 ปีเต็ม ทำให้เกิดการขัดแย้งกันมากมายแต่ก็ไม่มีทางเลือกที่จะแยกทางกันได้ ถึงแม้จะมีหลายครั้งที่ทั้งสองพยายามปรึกษาหาหมอมาแยกร่างของเขาออกจากกัน แต่ในยุคนั้นวิทยาการการแพทย์ยังไม่สามารถทำอะไรได้ มากนัก จนสุดท้ายทั้งสองก็เสียชีวิตในวันเดียวกัน ถึงแม้บุคคลทั้งสองจากเมืองไทยไปและก็ไม่ได้กลับมาสู่บ้าน เกิดเมืองนอนอีก และทุกคนที่รู้เรื่องสองคนก็มักจะนึกถึงเมืองไทยเสมอ ถือได้ว่าที่โลกรู้จักเมืองไทยก็เพราะเขา ทั้งสองเป็นส่วนหนึ่งเช่นกัน แม้ว่าเวลาจะล่วงเลยไปเกือบ 200 ปีแล้วก็ตาม แฝดอิน-จัน เป็นฝาแฝดที่มีลักษณะ ผิดแผกแตกต่างไปจากแฝดคู่อื่นๆ เพราะมีร่างกายติดกันมาตั้งแต่เกิด และท าให้ชาวโลกรู้จักฝาแฝดอิน-จันคู่นี้ที่มีล าตัวติดกันเป็นครั้งแรกในโลก แต่ก่อนฝรั่งไม่เคยพบเห็นเด็กฝาแฝดที่มีร่างกายติดกัน พอมาพบเด็กแฝดชาว ไทยชื่ออินกับจันที่มีตัวติดกัน จึงท าให้มีค าเรียกฝาแฝดที่มีร่างกายติดกันว่า “แฝดสยาม ” (Siamese twins) นับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

แฝดอิน-จัน เกิดเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2354 ซึ่งตรงกับรัชสมัยของ สมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ที่บ้านเรือนแพริมน้ าปากคลองแม่กลอง ต.แหลมใหญ่ อ.เมือง จ.สมุทรสงคราม บิดาของแฝดอิน-จันชื่อนายทีอาย เป็นชาวจีนแต้จิ๋วที่อพยพมาจากจีนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งเกิดที่เมืองจีนในสมัยราชวงศ์ชิงราชวงศ์สุดท้ายของจีน แล้วอพยพเข้ามาดินแดนสยามในสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชรัชกาลที่ 1 เมื่อราว พ.ศ. 2333 โดยแรกเริ่มมาลงหลักปักฐานประกอบอาชีพประมงและค้าขายที่ปากคลอง (แม่น้ า) แม่กลอง ส่วนมารดาชื่อนางนก มีเชื้อสายจีน-มาเลย์ อิน-จัน มีพี่น้องร่วมท้องเดียวกันรวม 9 คน โดยแฝดอิน-จันเป็นลูกคนที่ห้าและหกของพ่อกับแม่ เมื่อแรกเกิดอิน-จันมีร่างกายสมประกอบทุกอย่าง เพียงแต่ที่หน้าอกมีแผ่นหนังเชื่อมยึดติดกันเป็นแถบกว้างประมาณ 6 นิ้ว และมีสายสะดือเดียวกัน ตอนแรกที่เกิดมานั้นหนังที่เชื่อมหน้าอกบิดเป็นเกลียว เด็กทั้งสองนอนในท่ากลับหัวกลับเท้า แม่ของแฝดอิน-จันจึงจับหมุนให้หันหัวและเท้าอยู่ในทิศทางเดียวกัน โดยอินจะเป็นคนที่อยู่ทางซ้ายของสายตาคนมอง ส่วนจันจะเป็นคนขวาของสายตาคนมอง การเกิดมาอย่างผิดปกติของเด็กทั้งคู่ในสมัยนั้นถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ดีนัก เพราะเชื่อกันว่าเด็กแฝดตัวติดกันเป็นเสนียดจัญไร อาจจะน าความฉิบหายมาให้บ้านเมืองได้ เรื่องเล่าบางเรื่องกล่าวว่าควรจะแยกเด็กทั้งคู่ออกจากกันเสียเพื่อให้ลางร้ายนั้นหมดไป แต่วิธีการที่หมอในสมัยนั้นจะทำกัน ล้วนเป็นเรื่องที่ฟังดูแล้วน่าตกใจ เช่น เอาลวดไปเผาไฟให้ร้อนแล้วใช้ลวดนั้นตัดทั้งสองคนออกจากกันหรือหมอบางคนถึงกับแนะนำให้เอาเลื่อยมาเลื่อยเด็กทั้งสองคนนี้ออกจากกันไปเลย แต่ไม่ว่าวิธีไหนก็ถูกบิดาและมารดาของแฝดอิน-จันปฏิเสธ พร้อมทั้งยืนยันว่าจะเลี้ยงเด็กแฝดนี้อย่างคนปกติทั่วไป เพื่อให้ลูกที่เกิดมาใช้ชีวิตเหมือนเด็กปกติธรรมดา นางนกแม่ของอิน-จันจึงพยายามดึงเส้นเอ็นที่เชื่อมหน้าอกของลูกทั้งสองให้ยืดยาวออกให้ได้มากที่สุดเพื่อให้ทั้งคู่เคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างสะดวก อีกทั้งยังฝึกให้เด็กทั้งสองท ากิจกรรมต่างๆ อย่างเช่นการเดิน วิ่ง ว่ายน้ำ พายเรือ เพื่อให้เด็กทั้งคู่จะสามารถท าสิ่งต่างๆ ได้เหมือนเด็กคนอื่นๆ และสามารถใช้ชีวิตตามปกติ

แฝดอิน-จันได้เริ่มหัดเดินก็พบความยุ่งยากที่มีมากกว่าเด็กธรรมดาคนอื่นๆ เพราะขณะที่คนหนึ่งก้าวเท้าหากอีกคนหนึ่งอยู่เฉยๆ ก็จะหกล้มหัวคะม าไปทั้งคู่ แต่ไม่นานนักปัญหานี้ก็หมดไปเมื่อทั้งคู่รู้จักการโอบไหล่กันเข้าหากัน ก้าวเท้าประสานกัน เหมือนเป็นคนๆ เดียวกันจนสามารถเดินและวิ่งได้อย่างคล่องแคล่ว สิ่งที่น่าแปลกก็คือทั้งคู่จะรู้ว่าอีกคนจะเดินไปทางไหน จะหยุดเมื่อไหร่ และลุกขึ้นยืนตอนไหน อินกับจันจะทำอะไรพร้อมกันอยู่เสมอ รวมไปถึงป่วยพร้อมกัน มีอาการป่วยเหมือนกันและหายป่วยในวันเดียวกัน ลักษณะนิสัยของทั้งคู่จะทำอะไรประสานกลมกลืนกันไปหมดไม่ค่อยเถียงกัน แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นคนๆ เดียวกัน เพราะเขาสามารถสนทนาโดยต่างคนต่างคุยกับอีกคนหนึ่ง ในเวลาเดียวกันได้ในหัวข้อเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกัน ด้านอุปนิสัยนั้น อินค่อนข้างจะเป็นคนเงียบ ใจเย็น เจ้าความคิด ส่วนจันมีนิสัยใจร้อน เจ้าอารมณ์ ฉุนเฉียวง่าย แต่ทั้งคู่เป็นเด็กที่ซน จะชอบไต่ขึ้นไปบนเนินเตี้ยๆ แล้วกอดกันกลิ้งลงมาแล้วพากันหัวเราะอย่างสนุกสนาน อีกทั้งยังชอบวิ่งข้ามรั้ว พอเมื่อตอนที่ทั้งคู่อายุได้ 8 ขวบพ่อก็เสียชีวิตไปเนื่องจากอหิวาตกโรคเมื่อปี พ.ศ. 2362 อิน-จันจึงต้องมีหน้าที่ช่วยงานแม่เลี้ยงเป็ดขายไข่ ขายน้ ามันมะพร้าว ท าไข่เค็มขาย และหาปลา ทั้งสองฉายแววฉลาดให้เห็นตั้งแต่เด็กๆ ครั้นเมื่อรัชกาลที่ 3 ทรงเสด็จขึ้นครองราชย์ พระองค์ทรงโปรดเกล้าฯ ให้เข้าเฝ้า ตอนเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อเข้าเฝ้านั้นทั้งคู่ได้นำไข่เป็ดบรรทุกมาในเรือเพื่อให้แม่ออกนำขายระหว่างที่อยู่ในกรุงเทพฯ จะได้มีทุนซื้อสินค้าจากกรุงเทพฯ กลับไปขายที่แม่กลอง ในวันที่ครอบครัวของอิน-จันเสด็จมาเข้าเฝ้านั้นแฝดอิน-จันได้นำไข่เค็มมาทูลเกล้าถวายฯ ด้วย นอกจากนี้ หลังจากที่ได้เข้าเฝ้าฯ แล้ว ใน พ.ศ. 2370 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ทรงมีพระบรมราชานุญาตให้อิน-จันร่วมเดินทางไปกับคณะทูตสยาม ในการไปเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศโคจินจีนหรือเวียดนามในปัจจุบัน อิน-จันได้รับการต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่โดยมีขบวนแห่มารับอย่างอึกทึกครึกโครม

ปี พ.ศ. 2372 แฝดอิน-จัน มีอายุได้ประมาณ 18 ปี สยามเปิดประตูต้อนรับชาวต่างชาติจากทั่วโลก และได้มีเรือกำปั่นอเมริกันล าหนึ่งชื่อ “เดอะชาเคม” (The Sachem) เข้ามาเทียบท่าในกรุงเทพฯ มีนายเรือชื่อกัปตันคอฟฟิน ต่อมาเมื่อกัปตันชื่ออาเบล คอฟฟิน (Abel Coffin) และพ่อค้าชาวสก็อตชื่อโรเบิร์ต ฮันเตอร์ (Robert Hunter) ได้ตั้งห้างอยู่หน้าวัดประยูรวงศ์ ได้ทราบเรื่องฝาแฝดอิน-จันจึงเดินทางมาหา เมื่อเห็นแฝดอิน-จัน ว่ายน้ำไปขึ้นเรือและพายเรืออย่างคล่องแคล่ว ก็รู้สึกตื่นเต้นเป็นที่สุด พร้อมๆ วาดความคิดขึ้นมาทันทีว่า นี่แหละคือ “สินค้าตัวใหม่” จากแดนสยาม นายฮันเตอร์เข้ามาตีสนิทกับครอบครัวของอิน-จันอยู่ร่วมปี และได้ติดต่อกับแม่ของเด็กทั้งสองให้แฝดอิน-จันไปเปิดการแสดงที่โรง มหรสพ ของเขาในสหรัฐอเมริกา โดยอ้างกับแม่ของอิน-จันว่าเพื่อแนะน าให้ชาวโลกได้รู้จัก ทางการสยามได้อนุญาตให้แฝดอิน-จัน เดินทางออกนอกราชอาณาจักรไปแสดงตามที่ต่างๆ ตามค าขอร้องของนายฮันเตอร์และกัปตันคอฟฟิน ซึ่งแม่ของแฝดอิน-จันก็ได้ตกลงและได้รับเงินจ านวน 1,600 บาท แฝดอิน-จันจึงได้ไปเปิดการแสดงที่สหรัฐอเมริกาโดยมีก าหนด 3 ปี จนกว่าทั้งคู่จะอายุครบ 21 ปี โดยอิน-จันได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินเดือน 50 เหรียญต่อเดือนหากแสดงในสหรัฐฯ ขณะที่เดินทางไปสหรัฐอเมริกานั้นแฝดอิน-จัน มีอายุได้ราว 18 ปี ซึ่งนับเป็นคนไทยคู่แรกที่ได้ไปถึงสหรัฐอเมริกา โดยได้เดินทางออกจากสยามเมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2372 โดยมุ่งหน้าไปที่เมืองบอสตัน การเดินทางใช้เวลาถึง 138 วัน ในระหว่างนั้นก็ได้ฝึกภาษาอังกฤษกับพวกลูกเรือ เมื่อไปถึงสหรัฐฯ ค าว่า Siamese Twins จึงได้เกิดขึ้นแต่ครั้งนั้นมา แฝดอิน-จันเริ่มเปิดการแสดงที่เมืองบอสตันเป็นที่แรก ก่อนจะออกเดินทางแสดงทั่วอเมริกาอีกร่วม 10 ปี โดย สัญญาที่ท าไว้กับนายฮันเตอร์และกัปตันคอฟฟินจะสิ้นสุดลงเมื่อทั้งคู่มีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ โดยในช่วง 2 ปี แรก ทั้งคู่ก็ได้รับส่วนแบ่งค่าตอบแทน โดยมีกัปตันคอฟฟินเป็นผู้จัดการ แต่ดูเหมือนกัปตันเป็นผู้หาผลประโยชน์เสียมากกว่า แฝดอิน-จัน ถูกนำไปเปิดการแสดงโชว์ตัวตามประเทศต่างๆ ซึ่งท ารายได้ให้แก่กัปตันคอฟฟินและนายโรเบิร์ต ฮันเตอร์ เป็นอย่างมาก เมื่อแฝดอิน-จัน ไปแสดงที่ใดก็จะได้รับความสนใจ อย่างมาก วงการแพทย์ก็ให้ความสนใจขอตรวจร่างกาย แต่ก็ยังไม่มีการสรุปว่าจะสามารถผ่าตัดแยกร่างออกจากกันได้ เพราะเกรงว่าหากท าเช่นนั้นแล้วจะท าให้ทั้งสองถึงแก่ความตายได้ การแสดงของคู่แฝดไม่ได้มีจุดขายอยู่ที่ความแปลกประหลาด หรือได้แต่เดินไปมาให้ผู้ชมดูความเป็นแฝดตัวติดกันของตนเท่านั้น แต่อยู่ที่ความสุภาพ ความเฉลียวฉลาด และความสามารถอันน่าทึ่งของทั้งคู่ โดยทั้งสองได้ออกแบบการแสดงเองเพื่อให้เห็นถึงความว่องไวและพละก าลัง เช่น อิน-จันสามารถตีลังกาไปข้างหน้า-กลับหลังได้พร้อมๆ กัน และท้าผู้ชมมาดวลหมากกระดานกันสดๆ กลางเวที เล่นกายกรรม ตีแบดมินตัน แถมทั้งคู่ยังมีอารมณ์ขันแบบสุดๆ เช่นคืนเงินครึ่งหนึ่งให้กับผู้ชมคนหนึ่ง โดยบอกว่าผู้ชมท่านนั้น ดูการแสดงด้วยตาเพียงข้างเดียว ต่อจากนั้นก็มีการนำอิน –จันไปแสดงที่อังกฤษ หลังจากเสร็จสิ้นการปรากฏตัวที่อังกฤษแล้ว นายคอฟฟินต้องการพาอิน-จันไปฝรั่งเศส แต่รัฐบาลของฝรั่งเศสปฏิเสธค าขอ เพราะเห็นว่าทั้งคู่เป็นอสุรกาย ซ้ าเกรงว่าจะมีผลเสียหายต่อเด็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เกรงว่าหากหญิงมีครรภ์เห็นเข้า ก็จะท าให้ลูกเกิดมาผิดปกติ อย่างไรก็ตามในปี พ.ศ. 2378 (ค.ศ. 1835) อิน-จันก็ได้มีโอกาสไปปรากฏตัวในประเทศฝรั่งเศส แฝดอิน-จัน ท างานกับคอฟฟินจนกระทั่งครบสัญญาในวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2375 (ค.ศ. 1832) หลังเขาทั้งสองได้แยกตัวออกจากคณะมหรสพอย่างเป็นทางการ และเปิดการแสดงอย่างอิสระ ตระเวนออกแสดงทั่วสหรัฐฯ และอังกฤษ ท าให้รายได้เพิ่มมากขึ้นจนมีฐานะร่ ารวย หลังจากการตระเวนแสดงให้คนดูในประเทศสหรัฐอเมริกาอยู่หลายปี แฝดอิน-จัน ได้พบเห็นบ้านเมืองและภูมิประเทศต่างๆ มากมาย พร้อมกับได้เรียนรู้ภาษาและขนบธรรมเนียมของอเมริกันชนจนเจนจบ ทั้งคู่จึงตกลงใจเปลี่ยนสัญชาติเป็นอเมริกัน และการตระเวนเปิดการแสดงตามที่ต่างๆ ท าให้พวกเขาพอมีเงินที่จะซื้อที่ดินได้ โดยทั้งสองท ารายได้ทั้งหมดประมาณ 60,000 เหรียญสหรัฐฯ ดังนั้นเมื่อทั้งคู่มีอายุได้ 28 ปี ใน พ.ศ. 2382 จึงได้ลงหลักปักฐานที่ต าบลแทรพฮิลล์ ในมลรัฐนอร์ท แคโรไลนา โดยซื้อที่ดินเพื่อปลูกบ้านอยู่ และสามารถซื้อที่ดินท าไร่เป็นของตัวเองบนเนื้อที่ 150 เอเคอร์

แฝดอิน-จันหันไปทำไร่ยาสูบจนประสบความสำเร็จ มีฐานะร่ ารวยขึ้น ต่อมาพวกเขาได้ใช้นามสกุลว่า บังเกอร์ (Bunker) ในปี พ.ศ. 2383 (ค.ศ. 1840) เพื่อให้มีสิทธิเป็นชาวอเมริกัน เพราะทางการไม่ยอมให้โอนสัญชาติหากไม่มีชื่อสกุลเป็นคริสต์ ทั้งคู่เป็นคนไทยค่แรกที่ขอโอนสัญชาติ เมื่อมีอายุได้ 31 ปี อินและจันได้พบรักและแต่งงานพร้อมๆ กัน อินแต่งงานกับมิสซาร่า เยสท์ หรือแซลลี เยตส์ อายุ 20 ปี ส่วนจัน แต่งงงานกับมิสอาดิเลด เยสท์ อายุ 19 ปี โดยทั้งสองคู่ได้ท าพิธีแต่งงานที่โบสถ์เมธอดิสท์ ในวันที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2386 (ค.ศ. 1843) โดยอิน-จันปลูกบ้านให้ภรรยาอยู่คนละหลัง ห่างกันประมาณ 1 กิโลเมตร แรกทีเดียวทั้งสี่คนนั้นอาศัยอยู่ด้วยกันในบ้านหลังเดียวกัน ภรรยาของแฝดอิน-จันเป็นลูกสาวของหมอสอนศาสนา ทั้งคู่ได้มีบุตรคนแรกในเวลาไล่เลี่ยกันโดยห่างกันเพียง 6 วัน อินมีลูก 11 คน จันมีลูก 10 คน ระยะเวลาเพียงสิบกว่าปี สองครอบครัวมีลูกรวมกัน 21 คนพอดี ไม่ปรากฏว่าลูกคนใดมีความผิดปกติ นอกจากมีบันทึกว่า 2 คนเป็นใบ้ หลังจากที่ต่างฝ่ายต่างมีลูกได้ 3 คนแล้ว ภรรยาทั้งสองก็ขอแยกไปอยู่ต่างบ้าน ด้วยเหตุผลแรกที่ต้องการพื้นที่เลี้ยงดูลูกมากขึ้น และสาเหตุที่สองคือเพราะภรรยาทั้งสองเริ่มทะเลาะเบาะแว้งกัน อิน-จันจึงลงเอยด้วยการสร้างบ้านใหม่ขึ้นอีกหลังหนึ่ง แล้วไปอยู่บ้านละ 3 วันสลับกันเมื่อผู้หญิงทั้งสองคนต้องมีสามีตัวติดกันจึงจ าเป็นต้องตกลงแบ่งสรรปันส่วนเวลากัน โดยจะผลัดกันอยู่บ้านละ 3 วันเพื่อไม่ให้เสียเปรียบได้เปรียบกัน นอกจากนี้ยังมีการตกลงกันว่า ระหว่างที่อยู่บ้านใครคนนั้นเป็นเจ้าของบ้านถือว่าผู้นั้นใหญ่สุด เจ้าของบ้านจะท าอะไรอีกฝ่ายต้องตามใจทุกอย่าง การที่อิน-จันมีครอบครัวน ามาซึ่งความสงสัยของคนโดยทั่วไปว่า เมื่อเวลาอินหรือจันมีความสัมพันธ์กับภรรยา อีกคนหนึ่งจะอยู่ในลักษณะใด และจะปฏิบัติตัวเช่นไร ซึ่งอินและจันก็ไม่เคยตอบค าถามนี้แก่ใครเลย แต่เรื่องที่เล่ากันก็คือ เพื่อให้เป็นไปตามครรลองของประเพณีอันดีงามและหลีกเลี่ยงค าครหาในยุคนั้น แฝดอิน-จันใช้วิธีขึงผ้าไว้ตรงกลางเวลาหลับนอนกับภรรยา เพื่อกันไม่ให้อีกฝ่ายเห็นรายละเอียดขณะหลับนอน เนื่องจากทั้งสองมีระบบประสาทที่แยกต่างหากจากกัน ฉะนั้นจึงไม่น่าที่อีกฝ่ายจะพลอยตื่นเต้นขึ้นมากมายไปกับความรู้สึกต่างๆ นานาในระดับเดียวกันโดยปริยายไปด้วย อิน-จัน มักเข้านอนเวลาเดียวกันหลับเวลาเดียวกัน ต่างกันเพียงเวลาตื่น จันตื่นนอนก่อนอินประมาณหนึ่งชั่วโมง จันชอบท างานบ้าน ส่วนอินชอบออกไปดูไร่ ที่น่าแปลกก็คือคนสองคนนี้แม้ว่าจะดูเป็นคน ๆ เดียวกันแต่กลับถือนิกายต่างกันอินเป็นแบบติสต์ ส่วนจันถือโรมันคาทอลิค แต่ก็ไม่มีใครปฏิเสธจะเข้าโบสถ์ที่อีกคนหนึ่งเข้าเป็นประจำระหว่างสงครามกลางเมืองระหว่างฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้ในประเทศอเมริกา อินเข้ากับฝ่ายเหนือ จันถือหางฝ่ายใต้ถึงขนาดส่งลูกชายเข้าร่วมรบในสงครามด้วย หลายปีต่อมาหลังแต่งงาน จันกลายเป็นคนติดเหล้า ส่วนอินติดไพ่ และสองพี่น้องทะเลาะเบาะแว้งกันอย่างไม่หยุดหย่อน ว่ากันว่า อินกับจันนิสัยไม่ค่อยเหมือนกัน อินเป็นคน เรียบร้อยชอบอยู่เงียบๆ ว่านอนสอนง่าย ช่างฝัน ใจเย็น และมักจะเป็นฝ่ายยินยอมอ่อนตาม แต่มีข้อเสียคือชอบเล่นไพ่ ส่วนจันเป็นคนโผงผาง ใจร้อน โมโหง่าย เป็นผู้น า และชอบกินเหล้า บ่อยครั้งที่ทั้งสองมีความคิดที่จะ ผ่าตัดแยกตัวแต่ก็ต้องล้มเลิกไปทุกครั้ง พ.ศ. 2414 แฝดอิน-จัน มีอายุได้ 60 ปี จึงหยุดการแสดงโชว์ หลังจากนั้น อินและจันเกิดป่วยเป็นอัมพาตซีกขวา อินทั้งดื่มสุราจัดด้วย จึงท าให้สุขภาพของจันเสื่อมโทรมลงไปด้วย แพทย์ ตรวจพบว่าจันป่วยเป็นโรคหลอดลมอักเสบ มีอาการรุนแรงและทรุดลงเรื่อยๆ จนกระทั่งในคืนวันที่ 17 อินเห็นดังนั้นจึงขอร้องให้จันไปนอนพักผ่อน แต่จันอ้อนวอนอินให้นั่งหน้าเตาผิงเป็นเพื่อนเขาต่อไป ในเวลา ต่อมาเมื่อจันรู้สึกดีขึ้นเขาจึงยอมเข้านอน เมื่อจันเข้านอนได้ไม่นานนัก อินก็พบว่าจันได้ตายจากเขาไปเสียแล้ว ไม่มีใครรู้ซึ้งถึงจิตใจของอินว่าความผูกพันด้านจิตใจของเขาต่อคู่แฝดที่จากไปนั้นมันล้ าลึกแค่ไหน อินนอน กอดศพจันที่หมดลมหายใจไปแล้วอยู่ตลอดเวลา จนอีกสองชั่วโมงต่อมาอินก็ตายตามจันไปอย่างสงบ รวมอายุ ได้ 62 ปี ศพของคนทั้งคู่ฝังอยู่ที่สุสานของโบสถ์ไวท์เพลนส์ เมืองเมาท์แอรี สหรัฐอเมริกา

กระทรวงการต่างประเทศ นำฝาแฝดคู่นี้ไปประเทศสหรัฐอเมริกา มีกำหนดสามปี โดยจ่ายเงินให้แก่แม่ของอิน - จัน เป็นเงิน ๑,๖๐๐ บาท ฝาแฝดอิน - จัน ได้ไปแสดงตัวที่เมืองบอสตัน ในสหรัฐอเมริกา เป็นแห่งแรก ผู้คนพากันมาชมกันเป็นจำนวนมาก เมื่อ อิน - จัน บรรลุนิติภาวะก็ได้แยกตัวออกจากมิสเตอร์ฮันเตอร์ แล้วไปแสดงในที่ต่าง ๆ มีคนมาชมเป็นจำนวนมากทั้งสองช่วยกันคิดแบบการแสดงต่าง ๆ ให้เห็นความว่องไวและพละกำลัง มีการหกคะเมนตีลังกา เป็นต้น จนหาเงินได้ร่ำรวย สามารถซื้อที่ดินทำไร่ที่รัฐนอร์ธแคโรไลนา เมืองเวิลด์โปโร เริ่มกิจการทำไรยาสูบที่รัฐเวอร์จิเนีย ประสบผลสำเร็จอย่างดี มีทาสและคนงานในไร่ถึง๓๓ คน พออายุได้ ๓๒ ปี ทั้งสองก็ได้แต่งงานกับหญิงชาวอเมริกันสองคน ทั้งคู่มีลูกชายและลูกสาวหลายคน ต่อมาทั้งสองได้เดินทางไปแสดงที่ยุโรปหลายครั้งทั้งสองถึงแก่กรรมเมื่อปี พ.ศ.๒๔๑๗ เมื่ออายุได้ ๖๓ ปี ทั้งสองสิ้นใจห่างกันสองชั่วโมง และเพื่อเป็นอนุสรณ์แก่อิน - จัน ที่สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทย ทางจังหวัสมุทรสงคราม จึงได้สร้างอนุสรณ์สถานแฝดอิน-จัน ขึ้นที่ตำบลลาดใหญ่ อำเภอเมือง ฯพื้นที่บริเวณเดียวกับที่จะสร้าง พิพิธภัณฑ์เรือ โดยมีเนื้อที่ถึง10 ไร่เศษ โดยสร้างรูปหล่อแฝดสยามขนาดเท่าครึ่งของตัวจริง และในส่วนบริเวณรอบรอบ ทางจังหวัดสมุทรสงครามได้ปรับปรุงทัศนียภาพรอบอนุสรณ์สถานแฝดอิน-จัน เพื่อให้เป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจ สถานที่ออกกำลังกาย สนามเด็กเล่น และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกแห่งหนึ่ง ของจังหวัดสมุทรสงคราม

ชื่อเสียงของอิน-จัน ทำให้เกิดคำเรียกแฝดตัวติดกันว่า แฝดสยาม (Siamese twins) ตามชื่อเรียกประเทศไทยในเวลานั้น ทั้งคู่เสียชีวิตเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2417 ภายหลังได้มีการสร้าง อนุสรณ์สถานแฝดสยามอิน-จัน ที่ ต. ลาดใหญ่ เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานแด่ฝาแฝดสยามอิน-จันที่ได้สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยไปทั่วโลก

วันเสาร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เจ๋ง!!ไขปริศนา"สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า"ได้แล้ว




สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน เมื่อวันที่ 10 ส.ค.ว่า นักวิทยาศาสตร์สามารถวิจัยค้นพบปริศนาลึกลับดำมืดของสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า ที่สร้างปรากฎการณ์ดูดกลืนเรือและเครื่องบิน ที่บินผ่านบริเวณดังกล่าวจนหายสาบสูญ และถูกกล่าวขานเรียกว่าเป็น"สามเหลี่ยมผีสิง ที่ร่ำลือกันว่า ได้ดูดกลืนสิ่งต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาทะลุไปยังอีกมิติหนึ่ง"โดยพบว่า สาเหตุแท้จริงมาจากการการก่อตัวของก๊าซ ธรรมชาติ ที่ใหญ่ขนาดเป็นฟองก๊าซขนาดยักษ์ และทำให้เรือและเครื่องบินสูญเสียการควบคุม ก่อนจมดิ่งสู่สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า


รายงานระบุว่า จากการค้นพบของศจ.โจเซฟ โมนาแกน หนึ่งในสองผู้วิจัยงานศึกษาไข ปริศนาดังกล่าว ระบุว่า เขาพบว่า บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า ปรากฎว่ามีก๊าซมีเธนเป็นจำนวนมาก ขนาดปะทุเป็นฟองก๊าซขนาดยักษ์ลอยเหนือบริเวณดังกล่าว ก๊าซดังกล่าวอยู่ใต้ท้องทะเลในบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า โดยเมื่อก๊าซเหล่านี้ขึ้นสู่พื้นผิว มันจะทะยานสู่อากาศ และขยายตัวเป็นวงกว้างและก่อตัวเป็นฟองก๊าซขนาดยักษ์ เมื่อเรือลำใดผ่านเข้าไปในบริเวณนั้น ก็จะเข้าไปสู่ฟองก๊าซมีเธนขนาดยักษ์ จนทำให้เรือเหล่านี้สูญเสียการควบคุม และจมลงสู่ห้วงทะเล

และหากฟองก๊าซดังกล่าวมีขนาดยักษ์มาก ๆ ที่สามารถครอบคลุมความหนาแน่นระดับสูงบนผืนฟ้าเพียงพอ มันก็จะทำให้เครื่องบินที่บินอยู่บนน่านฟ้าเหนือสามเหลี่ยมฯ สูญเสียการควบคุม ตกทะเลและจมลงสู่ท้องทะเลอย่างรวดเร็ว

วันอาทิตย์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ไขความจริง 'กลูตาไธโอน' สารทำให้ผิวขาว



หลายคนคงเคยได้ยินข่าวการฉีดสารกลูตาไธโอน สารที่ทำให้ผิวขาวกันมาบ้างแล้ว แต่ทราบหรือไม่ว่า สารกลูตาไธโอน เป็นสารที่มีอยู่แล้วในร่างกาย และเป็นสารที่มีความจำเป็นต่อร่างกาย การฉีดสารดังกล่าวเข้าไปอาจทำให้ร่างกายได้รับผลกระทบได้ จริงอยู่ที่สารกลูตาไธโอนทำให้ผิวขาวขึ้นได้ แต่ก็มีโทษอยู่เหมือนกัน และจะยิ่งอันตรายหากฉีดสารกลูตาไธโอนด้วยตัวเอง ดังนั้น คอลัมน์ “หมอรามาฯไขปัญหาสุขภาพ” วันนี้ จะมาเผยความจริงของสารกลูตาไธโอนเพื่อให้เป็นข้อมูลการตัดสินใจก่อนที่ใครหลายคนจะเริ่มฉีด

กลูตาไธโอนคืออะไร จำเป็นต่อร่างกายหรือไม่

กลูตาไธโอน (Glutathione) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญในร่างกาย ที่ร่างกายสามารถสร้างขึ้นได้เอง จากอาหารประเภทโปรตีน ไข่และนม รวมถึงผักผลไม้ประเภท หน่อไม้ฝรั่ง อะโวคาโด และวอลนัท ร่างกายจะเก็บกลูตาไธโอนที่สร้างขึ้นไว้ที่ตับ สามารถพบกลูตาไธโอนได้ในทุกเซลล์ของร่างกาย

กลูตาไธโอนมีความจำเป็นต่อร่างกาย โดยช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยให้ร่างกายดูดซึมวิตามินซีและอีได้มากขึ้น เป็นตัวกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย ช่วยสร้างและซ่อมแซม DNA นอกจากนี้ยังช่วยขับสารพิษออกจากร่างกาย โดยผ่านการสร้างเอนไซม์ชนิดต่าง ๆ และช่วยป้องกันตับจากการถูกทำลายโดยแอลกอฮอล์ได้อีกด้วย

ใช้ในทางการแพทย์อย่างไร ช่วยให้ผิวขาวจริง หรือไม่

มีรายงานการใช้ในรูปแบบฉีดหลายกรณี ทั้งใช้ในกรณีฉุกเฉิน เช่น ฉีดเพื่อเพิ่มการไหลเวียนของเลือดระหว่างผ่าตัด รักษาโรคทางระบบประสาท ขับพิษจากโลหะหนัก สารระเหย ยาฆ่าแมลง ยาพาราเซตามอลเกินขนาด ใช้เพิ่มภูมิต้านทานในผู้ป่วยเอดส์และมะเร็ง ในบางประเทศได้ขึ้นทะเบียนกลูตาไธโอนเป็นยาบางประเทศอนุญาตให้ใช้เป็นอาหารเสริม แต่สำหรับในประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนกลูตาไธโอนเป็นยา และไม่อนุมัติให้ใช้สารชนิดนี้ในรูปแบบฉีด

หากถามว่าช่วยให้ผิวขาวได้จริงหรือไม่ ต้องบอกว่า เดิมทีกลูตาไธโอนถูกผลิตขึ้นเพื่อใช้ฉีดเพิ่มภูมิต้านทาน รักษาผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย แต่กลับพบว่าผู้ป่วยมีผิวขาวขึ้น มีสีผมอ่อนลงหลังฉีดยา จึงอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้มีการนำมาฉีดเพื่อทำให้ผิวขาวกันมากขึ้น ซึ่งความเป็นจริงแล้ว หากร่างกายได้รับกลูตาไธโอนมากเกินไป ก็จะไปกดการสร้างเม็ดสีของผิวทำให้ผิวขาว ซึ่งอธิบายได้จาก

ปกติในร่างกายคนเรา เซลล์สร้างเม็ดสี (melano cyte) จะผลิตเม็ดสีเมลานินอยู่ 2 ชนิด ผิวคล้ำแบบคนเอเชียหรือคนไทย จะมีเม็ดสีขนาดใหญ่ เรียกว่า ยูเมลานิน (Eumelanin) คนผิวขาวแบบฝรั่ง จะมีเม็ดสีขนาดเล็กกว่า เรียกว่า ฟีโอเมลานิน (Pheomelanin) เมื่อร่างกายเราได้รับ กลูตาไธโอนปริมาณมาก จะไปกดการสร้างยูเมลานินตามปกติลง เปลี่ยนเป็นสร้างฟีโอเมลานินเพิ่มขึ้นชั่วขณะ ผิวจึงดูขาวขึ้น แต่เนื่องจากกลูตาไธโอน ไม่สามารถปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางพันธุกรรมของ เซลล์สร้างเม็ดสี (melanocyte) เมื่อเวลาผ่านไป เซลล์สร้างเม็ดสีก็กลับไปสร้างเม็ดสียูเมลานินมากตามปกติเหมือนเดิม

ดังนั้น ผู้ที่ฉีดกลูตาไธโอนเพื่อให้ผิวขาวขึ้น จำเป็นต้องฉีดในปริมาณมากกว่าขนาดที่ใช้รักษาตามปกติหลายเท่าตัวเป็นเวลาต่อเนื่องกันนาน จึงไม่จัดเป็นการดีท็อกซ์ และอาจมีอันตรายต่อสุขภาพในระยะยาวได้

มีอันตรายจากการใช้ หรือมีผลต่อชีวิตอย่างไรบ้าง

ผลข้างเคียงที่น่ากลัว คือการฉีดยาใด ๆ ก็ตามเข้าเส้นเลือดดำ ล้วนมีโอกาสที่จะแพ้ได้ ทั้งการแพ้ตัวยาเอง หรืออาจจะแพ้สารฆ่าเชื้อ สารกันเสีย สารปนเปื้อน ซึ่งจากรายงานในต่างประเทศพบว่า ผู้ที่ได้รับการฉีดกลูตาไธโอนขนาดสูง มีอาการช็อก ความดันต่ำ หายใจไม่ออก และเสียชีวิตได้หากไม่ได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที นอกจากนี้ก็ยังพบว่า มีการนำสารกลูตาไธโอน ที่ไม่ผ่านการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา รวมทั้งยาปลอมที่ผลิตที่เวียดนาม และ จีน มาจำหน่ายและใช้อย่างผิดกฎหมาย

การฉีดกลูตาไธโอน มักให้ร่วมกับวิตามินซีขนาดสูง เพื่อกระตุ้นให้ ออกฤทธิ์ ได้ชัดเจนขึ้น ซึ่งการฉีดวิตามินซี ในขนาดที่สูงและเร็วเกินไปอาจทำให้เกิดอาการมึน ศีรษะคล้ายจะเป็นลมได้ หากใช้ กลูตาไธโอนในผู้ป่วยมะเร็ง อาจทำให้ประสิทธิภาพของเคมีบำบัดลดลง การได้รับสารกลูตาไธโอนปริมาณมาก มีผลทำให้ขบวนการต้านอนุมูลอิสระของร่างกายเสียสมดุล กลายเป็นอนุมูลอิสระ กลับมาทำร้ายร่างกายได้

แต่ที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดคือ ปัจจุบันมีการ โฆษณาขายกลูตาไธโอนอย่างแพร่หลายทางอินเทอร์เน็ตราคาตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงเป็นหมื่นบาท ที่มีการแนะนำวิธีฉีดและอวดอ้างสรรพคุณจนทำให้คนที่อยากขาว เกิดความสนใจและซื้อหาไปทดลองฉีดกันเอง ซึ่งอาจทำให้เกิดการแพ้ ติดเชื้อ และปัญหา อื่น ๆ ตามมาอีกมาก

ข่าวที่ออกมาว่าใช้สารกลูตาไธโอนแล้ว จะทำให้ตาบอดและเป็นมะเร็ง จริงหรือไม่

สำหรับข่าวการใช้สารกลูตาไธโอนแล้ว จะทำให้ตาบอดและเป็นมะเร็ง สามารถอธิบายได้ว่า การที่ร่างกายได้ รับสารกลูตาไธโอนเป็นเวลานาน ๆ จะทำให้เม็ดสีเมลานิน ทั้งที่ผิวหนังและที่จอตาลดลง ทำให้จอตารับแสงได้น้อยลง เสี่ยงต่อการมองเห็นได้ในอนาคต ทางวารสารทางการแพทย์สหรัฐอเมริกาจึงได้จัดว่า สารกลูตาไธโอนเป็นสารที่อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงทางตา ส่วนเม็ดสีเมลานินที่ผิวหนัง จะทำหน้าที่เหมือนฟิล์มกรองแสงที่ผิวหนัง หากเม็ดสีที่ผิวหนังลดลง ร่างกายก็ขาดเกราะป้องกันแสงอัลตราไวโอเลต ทำให้ผิวเหี่ยวย่นเร็ว และแก่เร็วขึ้น รวมทั้งเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งผิวหนังด้วย ดังนั้น ถึงแม้ตัวสาร กลูตาไธโอนเองจะเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระ แต่การได้รับแสงอัลตราไวโอเลตปริมาณมากกลับอันตรายยิ่งกว่า

เหตุใดจึงต้องฉีดเข้ากล้ามเนื้อหรือเส้นเลือดโดยตรง

กลูตาไธโอนมีทั้งชนิดฉีด ชนิดพ่น และชนิดรับประทาน ซึ่งอย่างที่ทราบกันอยู่แล้วว่าสารชนิดนี้ หากรับประทานจะถูกย่อยไปก่อนการดูดซึม จึงมีผู้พยายามลองใช้ในปริมาณสูง ๆ เพื่อหวังว่าจะดูดซึมได้บ้าง แต่จนถึงปัจจุบัน ยังไม่มีการศึกษาใดบอกว่า ต้องกินมากแค่ไหนจึงจะดูดซึมได้ แล้วก็ไม่มีใครรู้ว่าปริมาณที่กินมาก ๆ นั้น จริง ๆ แล้วดูดซึมได้หรือเปล่า และผลข้างเคียงระยะยาวมีอะไรบ้าง

ส่วนยาชนิดฉีดเข้ากล้ามเนื้อหรือเข้าเส้นเลือดโดยตรง น่าจะเพิ่มขนาดยาได้แน่นอนกว่า แต่ผลข้างเคียงที่น่ากลัว คือการฉีดยาเข้าเส้นเลือดดำ มีโอกาสที่จะแพ้ได้ กลูตาไธโอนชนิดฉีดมีใช้ในคลินิกเอกชนมานานแล้ว แต่ยังไม่มีการใช้ในโรงพยาบาลรัฐหรือโรงเรียนแพทย์ เพราะไม่มีการศึกษาถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัยในระยะยาว นอกจากนี้ การฉีดยังเป็นการ เพิ่มสารกลูตาไธโอนได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น อาจทำให้ผิวขาวขึ้นได้ในเวลาสั้น ๆ หลังจากนั้น สีผิวก็จะกลับเป็นเหมือนเดิม จึงต้องทำให้ฉีดต่อไปเรื่อย ๆ ไม่มีที่สิ้นสุด

วันแม่แห่งชาติ



ในสังคมต่าง ๆ ทั่วโลกให้ความสำคัญกับ "ความเป็นแม่" และคำเรียกผู้ที่ให้กำเนิดสมาชิกใหม่ของแต่ละสังคมส่วนใหญ่จะเป็นคำแรกที่เด็กสามารถเปล่งเสียงได้ก่อน "แม่" ดังนั้นความหมายของคำว่า "แม่" ทุกภาษาและวัฒนธรรมจะมีคุณค่าอย่างมาก และหากสังเกตจะพบว่า "แม่" เป็นเสียงที่เด็กสามารถเปล่งได้อย่างง่าย และเป็นคำแรกที่สามารถออกเสียงนั้นได้อย่างมีความหมาย

นักภาษาศาสตร์ได้ตั้งข้อสังเกตไว้ว่า คำว่า "แม่" ของทุก ๆ ภาษา มาจากการออกเสียงของเด็ก โดยคำขึ้นต้นด้วยพยัญชนะริมฝีปากคู่ ได้แก่ ม , พ , ป ,บ หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นพยัญชนะชุดแรกที่เด็กสามารถทำเสียงได้ โดยการใช้ริมฝีปากบนและล่าง ดังเช่น

ภาษาไทย เรียก แม่
ภาษาจีน เรียก ม๊ะ หรือ ม่า
ภาษาฝรั่งเศส เรียก la mere (ลา แมร์)
ภาษาอังกฤษ เรียก mom , mam
ภาษาโซ่ เรียก ม๋เปะ
ภาษามุสลิม เรียก มะ
ภาษาไท เรียก ใต้คง เม เป็นต้น

"แม่" เป็นคำโดดหรือคำไทยที่บ่งบอกความสัมพันธ์อันอบอุ่นลึกซึ้งระหว่างผู้หญิงกับลูก แม่ หมายถึง ผู้มีพระคุณ ผู้ให้กำเนิด ให้น้ำนมลูกดื่มกิน ให้ความรักความเมตตาและปกป้องดูแลลูกจนเติบใหญ่ คำว่า "แม่" มักถูกนำไปใช้ร่วมกับคำอื่น ๆ โดยมีความหมายแตกต่างกันออกไป พอจะแบ่งแยกออกได้เป็นประเภทต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

1. แม่ ในฐานะเป็นคำที่ใช้แบ่งแยกเพศและบ่งบอกบทบาท ฐานะ สถานภาพและอากัปกิริยาของผู้หญิง เช่น แม่… (น.) : คำเรียกหญิงทั่วไป เช่น แม่นั่น แม่นี่ ; แม่ค้า (น.) : ผู้หญิงที่ดำเนินการค้าขาย ; แม่ครัว (น.) : หญิงผู้ดูแลครัว หุงหาอาหาร ; แม่คู่ (น.) : นักสวดผู้ขึ้นต้นบท ; แม่นม (น.) : หญิงผู้ให้นมเด็กกินแทนแม่ ; แม่บ้านแม่เรือน (น.) : หญิงดูแลบ้านเรือน ; แม่แปรก (น.) : หญิงผู้จัดจ้านหรือเป็นหัวหน้ากลุ่ม ; แม่มด (น.) : หญิงหมอผี หญิงคนทรง หญิงเข้าผี ; แม่ยาย (น.) : คำเรียกแม่ของเมีย ; แม่ม่าย (น.) : หญิงที่มีผัวแล้วแต่ผัวตายหรือเลิกร้างกันไป ; แม่ยั่วเมือง (น.) : คำเรียกพระสนมเอกแต่โบราณ ; แม่ย้าว (น.) : หญิงผู้เป็นแม่เรือน ; แม่รีแม่แรด (ว.) : ทำเจ้าหน้าเจ้าตา ; แม่แรง (น.) : หญิงผู้เป็นกำลังสำคัญในการงาน, เครื่องดีดงัดหรือยกของหนัก ; แม่เลี้ยง (น.) : เมียของพ่อที่ไม่ใช่แม่ตัว, หญิงที่เลี้ยงลูกบุญธรรม ; แม่เล้า (น.) : หญิงผู้กำกับควบคุมดูแลซ่องโสเภณี ; แม่สื่อแม่ชัก (น.) : ผู้พูดชักนำให้หญิงกับชายรักกัน ; แม่อยู่หัว (น.) : คำเรียกพระมเหสี เป็นต้น

2. แม่ เป็นคำที่ใช้บ่งบอกฐานะของผู้ปกป้องคุ้มครอง เช่น แม่ย่านาง (น.) : ผีผู้หญิงผู้รักษาเรือ นางไม้ ; แม่ซื้อ, แม่วี (น.) : เทวดาหรือผีที่คอยดูแลทารก เป็นต้น

3. คำว่า แม่ ยังถูกนำมาใช้เรียกผู้เป็นหัวหน้าหรือเป็นนาย บ่งบอกฐานะของผู้มีอำนาจในการกำกับดูแลและควบคุม เช่น แม่กอง แม่ทัพ เป็นต้น






อย่างไรก็ตาม ความหมายหลักของคำว่า แม่ ก็คงหนีไม่พ้นการเป็นผู้ให้ชีวิตหรือหญิงผู้ให้กำเนิดบุตร หญิงผู้ปกป้องคุ้มครองและดูแลรักษา สังคมไทยยังใช้คำว่าแม่ตามความหมายนี้เรียกสิ่งดีงามตามธรรมชาติอื่น ๆ เพื่อยกย่องเทอดทูนในฐานะผู้ให้กำเนิดและหล่อเลี้ยงชีวิต เช่น แม่น้ำ แม่โพสพ แม่ธรณี เป็นต้น ความหมายของคำว่าแม่ในลักษณะเช่นนี้แสดงให้เห็นชัดอย่างชัดเจนว่าสังคมไทยแต่โบราณมายกย่องและให้เกียรติสตรีเพศผู้เป็นแม่ ตระหนักในบทบาทหน้าที่และบุญคุณของแม่ต่อชีวิตของลูก ๆ ตลอดมาทุกยุคทุกสมัย

ในบริบทของสังคมวัฒนธรรมไทย แม่ คือ ผู้เสียสละความสุขส่วนตนเพื่อลูก ๆ คอยดูแลเอาใจใส่และประคบประหงมลูกจนเติบใหญ่ ความรักของแม่ถือว่าเป็นความรักที่บริสุทธิ์ สังคมไทยมักพูดถึงแม่ในฐานะของผู้ที่รักลูกยิ่งชีวิต พร้อมจะตกระกำลำบากเพื่อลูกของตนโดยไม่สำนึกเสียใจ นางจันทร์เทวีถูกขับออกจากเมือง ต้องระเหเร่ร่อนไร้ที่ซุกหัวนอนเพราะคลอดลูกเป็นหอยสังข์ แต่นางก็ยังรักและเฝ้าทะนุถนอมกล่อมเกลี้ยงโดยไม่เคยคิดรังเกียจเดียดฉันท์แม้แต่สัตว์อย่างนางนิลากาสร ก็ยังรักและหวงแหนลูกอย่างทรพี ปกป้องลูกของตนมิให้ถูกฆ่าดังเช่นลูกของตัวอื่น ๆ

แม้ว้าโดยทั่วไปแล้ว คำว่า "แม่" จะบ่งบอกความหมายของการเสียสละ ความรักและความผูกพันที่ผู้หญิงที่มีต่อลูกของตน แต่การที่สังคมไทยมีลักษณะวัฒนธรรมเฉพาะที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละชนชั้น ทำให้ความหมายของการเป็นแม่ ตลอดจนบรรทัดฐาน แบบแผน พฤติกรรมและบทบาทฐานะของผู้หญิงในวัฒนธรรมของแต่ละชนชั้นย่อมแตกต่างกันไป

วันศุกร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ประวัติความเป็นมาของขนมไทย



ในสมัยโบราณคนไทยจะทำขนมเฉพาะวาระสำคัญเท่านั้น เป็นต้นว่างานทำบุญ เทศกาลสำคัญ หรือต้อนรับแขกสำคัญ เพราะขนมบางชนิดจำเป็นต้องใช้กำลังคนอาศัยเวลาในการทำพอสมควร ส่วนใหญ่เป็น ขนมประเพณี เป็นต้นว่า ขนมงาน เนื่องในงานแต่งงาน ขนมพื้นบ้าน เช่น ขนมครก ขนมถ้วย ฯลฯ ส่วนขนมในรั้วในวังจะมีหน้าตาจุ๋มจิ๋ม ประณีตวิจิตรบรรจงในการจัดวางรูปทรงขนมสวยงาม

ขนมไทยที่นิยมทำกันทุกๆ ภาคของประเทศไทย ในพิธีการต่างๆ เนื่องในการทำบุญเลี้ยงพระ ก็คือขนมจากไข่ และมักถือเคล็ดจากชื่อและลักษณะของขนมนั้นๆ งานศิริมงคลต่างๆ เช่น งานมงคลสมรส ทำบุญวันเกิด หรือทำบุญขึ้นบ้านใหม่ ส่วนใหญ่ก็จะมีการเลี้ยงพระกับแขกที่มาในงาน เพื่อเป็นศิริมงคลของงานขนมก็จะมีฝอยทอง เพื่อหวังให้อยู่ด้วยกันยืดยาว มีอายุยืน ขนมชั้นก็ให้ได้เลื่อนขั้นเงินเดือน ขนมถ้วยฟูก็ขอให้เฟื่องฟู ขนมทองเอกก็ขอให้ได้เป็นเอก เป็นต้น

สมัยรัตนโกสินทร์ จดหมายเหตุความทรงจำของกรมหลวงนรินทรเทวี กล่าวไว้ว่าในงานสมโภชพระแก้วมรกตและฉลองวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ได้มีเครื่องตั้งสำรับหวานสำหรับพระสงฆ์ 2,000 รูป ประกอบด้วย ขนมไส้ไก่ ขนมฝอย ข้าวเหนียวแก้ว ขนมผิง กล้วยฉาบ ล่าเตียง หรุ่ม สังขยา ฝอยทอง และขนมตะไล

ในสมัยรัชกาลที่ 5 มีการพิมพ์ตำราอาหารออกเผยแพร่ รวมถึงตำราขนมไทยด้วย จึงนับได้ว่าวัฒนธรรมขนมไทยมีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรครั้งแรก ตำราอาหารไทยเล่มแรกคือแม่ครัวหัวป่าก์ เขียนโดยท่านผู้หญิงเปลี่ยน ภาสกรวงศ์ ในหนังสือเล่มนี้ มีรายการสำรับของหวานเลี้ยงพระได้แก่ ทองหยิบ ฝอยทอง ขนมหม้อแกง ขนมหันตรา ขนมถ้วยฟู ขนมลืมกลืน ข้วเหนียวแก้ว วุ้นผลมะปราง

ในสมัยต่อมาเมื่อการค้าเจริญขึ้นในตลาดมีขนมนานาชนิดมาขาย ทั้งขายอยู่กับที่ แบกกระบุง หาบเร่ และมีการปรับปรุงการบรรจุหีบห่อไปตามยุคสมัย เช่นในปัจจุบันมีการบรรจุในกล่องโฟมแทนการห่อด้วยใบตองในอดีต
การแบ่งประเภทของขนมไทยแบ่งตามวิธีการทำให้สุกได้ดังนี้

ขนมที่ทำให้สุกด้วยการกวน ส่วนมากใช้กระทะทอง กวนตั้งแต่เป็นน้ำเหลวใสจนงวด แล้วเทใส่พิมพ์หรือถาดเมื่อเย็นจึงตัดเป็นชิ้น เช่น ตะโก้ ขนมลืมกลืน ขนมเปียกปูน ขนมศิลาอ่อน และผลไม้กวนต่างๆ รวมถึง ข้าวเหนียวแดง ข้าวเหนียวแก้ว และกะละแม
ขนมที่ทำให้สุกด้วยการนึ่ง ใช้ลังถึง บางชนิดเทส่วนผสมใส่ถ้วยตะไลแล้วนึ่ง บางชนิดใส่ถาดหรือพิมพ์ บางชนิดห่อด้วยใบตองหรือใบมะพร้าว เช่น ช่อม่วง ขนมชั้น ข้าวต้มผัด สาลี่อ่อน สังขยา ขนมกล้วย ขนมตาล ขนมใส่ไส้ ขนมเทียน ขนมน้ำดอกไม้
ขนมที่ทำให้สุกด้วยการเชื่อม เป็นการใส่ส่วนผสมลงในน้ำเชื่อมที่กำลังเดือดจนสุก ได้แก่ ทองหยอด ทองหยิบ ฝอยทอง เม็ดขนุน กล้วยเชื่อม จาวตาลเชื่อม
ขนมที่ทำให้สุกด้วยการทอด เป็นการใส่ส่วนผสมลงในกระทะที่มีน้ำมันร้อนๆ จนสุก เช่น กล้วยทอด ข้าวเม่าทอด ขนมกง ขนมค้างคาว ขนมฝักบัว ขนมนางเล็ด
ขนมที่ทำให้สุกด้วยการนึ่งหรืออบ ได้แก่ ขนมหม้อแกง ขนมหน้านวล ขนมกลีบลำดวน ขนมทองม้วน สาลี่แข็ง ขนมจ่ามงกุฏ นอกจากนี้ อาจรวม ขนมครก ขนมเบื้อง ขนมดอกลำเจียกที่ใช้ความร้อนบนเตาไว้ในกลุ่มนี้ด้วย
ขนมที่ทำให้สุกด้วยการต้ม ขนมประเภทนี้จะใช้หม้อหรือกระทะต้มน้ำให้เดือด ใส่ขนมลงไปจนสุกแล้วตักขึ้น นำมาคลุกหรือโรยมะพร้าว ได้แก่ ขนมถั่วแปบ ขนมต้ม ขนมเหนียว ขนมเรไร นอกจากนี้ยังรวมขนมประเภทน้ำ ที่นิยมนำมาต้มกับกะทิ หรือใส่แป้งผสมเป็นขนมเปียก และขนมที่กินกับน้ำเชื่อและน้ำกะทิ เช่น กล้วยบวชชี มันแกงบวด สาคูเปียก ลอดช่อง ซ่าหริ่ม

ประวัติเครื่องสำอาง


เครื่องสำอางเครื่องสำอาง หมายถึง ผลิตภัณฑ์สิ่งปรุงเพื่อใช้บนผิวหนัง หรือส่วนใดส่วนหึ่งของร่างกาย โดยใช้ทา ถู นวด พ่น หรือโรย มีจุดประสงค์เพื่อทำความสะอาด หรือส่งเสริมให้เกิดความสวยงาม หรือเพื่อเปลี่ยนแปลงรูปลักษณะ คำว่า cosmetics มีรากศัพท์มาจากภาษากรีกว่า kosmetikos ซึ่งมีความหมายว่า ตกแต่งให้สวยงามเพื่อดึงดูดความ.สนใจจากผู้พบเห็น ( คำว่าkomosแปลว่า เครื่องประดับ) โดยในสมัยแรกๆนั้น ใช้เครื่องสำอางเนื่องจากความจำเป็น เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมหรือธรรมชาติ
กำเนิด และ วิวัฒนาการ เท่าที่ปรากฎในโบราณคดี สันนิษฐานว่าคงมีการใช้เครื่องหอมในพิธีศาสนา สำหรับ บูชาพระเจ้าโดยการเผา ใช้น้ำมันพืชทาตัวหรือใช้อาบศพเพื่อไม่ให้เน่าเปื่อย มีการแลกเปลี่ยนซื้อขายกันจากประเทศตะวันออก และใช้เครื่องหอมนี้ไม่ต่ำกว่า 5000 ปี เชื่อวาอียิปต์เป็นชาติแรกที่รู้จักศิลปะการตกแต่งและการใช้เครื่องสำอางและแพร่ไปถึงแลสซีเรีย บาบีโลน เปอร์เซียและกรีก เมื่อคราวที่พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชได้ยกทัพเข้ายึดประเทศอียิปต์ ประเทศในยุโรปบางส่วน ตลอดจนถึงกรีก ทำให้ความรู้เรื่องเครื่องสำอางแพร่หลาย ศูนย์การของความเจริญอยู่ที่เมืองอเล็กซานเดรีย จนถึงสมัยจูเลียส ซีซาร์รบชนะกรีก ก็ได้รับศิลปวิทยาการต่างๆมาจากกรีก ศูนย์การของศิลปวิทยาการต่างๆได้ย้ายมาอยู่ที่กรุงโรม มีการอาบน้ำหอม ในระยะที่โรมันกำลังรุ่งเรือง ซีซาร์ได้ยกกองทัพไปตีอียิปต์ซึ่งมีพระนางคลีโอพัตราเป็นราชินี รู้จักวิธีการใช้ศิลปะการตกแต่งใบหน้าและร่างกาย ทำให้การใช้เครื่องสำอางเป็นที่แพร่หลายยิ่งขึ้น ในคริสต์ศตวรรษที่ 2 Galen บิดาแห่งเภสัชกรรม กายวิภาค อายุศาสตร์และปรัชญา ได้ประดิษฐ์coldcreamขึ้นเป็นครั้งแรก ต่อมา เมื่อจักรวรรดิโรมันอ่อนกำลังลง ประเทศที่นำหน้าเรื่องเครื่องสำอางคือฝรั่งเศส และมีสเปนเป็นคู่แข่ง

ประวัติเครื่องสำอาง
การใช้เครื่องสำอางจัดเป็นศิลปะอย่างหนึ่งที่มีมาแต่สมัยโบราณ มีการค้นพบว่า มีการใช้เครื่องสำอางมาตั้งแต่สมัยอียิปต์โบราณ จีน อินเดีย และต่อมาจนถึงปัจจุบัน โดยชาวกรีกเป็นชาติแรกที่มีการแยกการแพทย์และเครื่องสำอางออกจากกิจการทางศาสนา และยังถือว่าการใช้เครื่องสำอางเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องปฏิบัติต่อร่างกายให้ถูกต้องสม่ำเสมอ เป็นกิจวัตรประจำวัน ศิลปะการใช้เครื่องสำอางและเครื่องหอมได้ถึงขีดสุดในระหว่าง 2 ศตวรรษแรกแห่งอาณาจักรโรมัน แล้วค่อยๆ เสื่อมลง และเมื่ออาณาจักรโรมันเสื่อมอำนาจลงในศตวรรษที่ 5 ศิลปะการใช้เครื่องสำอางจึงแพร่หลายเข้าสู่ทวีปยุโรป นอกจากนี้ ชาวอาหรับก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดความเจริญก้าวหน้าในการผลิตเครื่องสำอาง โดยได้มีการดัดแปลง แก้ไขส่วนผสมต่างๆ เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่มีคุณภาพดีขึ้น เช่น การใช้กรรมวิธีการกลั่นเพื่อให้มีความบริสุทธิ์สูง การใช้แอลกอฮอล์เป็นตัวทำละลาย เป็นต้น เมื่อศิลปะการใช้เครื่องสำอางได้แพร่หลายเข้าสู่ในประเทศฝรั่งเศสมากขึ้น เจ้าหน้าที่ชาวฝรั่งเศสได้พยายามเสนอให้มีการแยกกิจการด้านเครื่องสำอางไว้เฉพาะ โดยให้แยกออกจากกิจการด้านการแพทย์ เนื่องจากกิจการด้านการแพทย์และเครื่องสำอางต้องอยู่ในการควบคุมของกฎหมาย ในระหว่างปี ค.ศ. 1400 – 1500 และความพยายามก็ประสบความสำเร็จในปี ค.ศ.1600 ศิลปะการใช้เครื่องสำอางได้แยกออกมาจากกิจการด้านการแพทย์อย่างชัดเจน ต่อมาในปี ค.ศ. 1800 ได้มีการรวบรวมและแยกแยะความรู้ในด้านศิลปะการใช้เครื่องสำอางออกเป็นหลายๆ ประเภท เช่น เภสัชกร ช่างเสริมสวย นักเล่นแร่แปรธาตุ ซึ่งต้องใช้ความรู้ที่ได้มาจากเภสัชกรรมและครื่องสำอางมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับแต่ละอาชีพการผลิตเครื่องสำอางในช่วงแรกๆ นั้น ยังมีกรรมวิธีการผลิตที่ไม่แน่นอน เครื่องสำอางบางประเภทมีขายในร้านขายยา การผลิตเป็นความรู้ส่วนบุคคลที่ได้รับสืบทอดมาหรือได้จากการศึกษาค้นคว้า ลองผิดลองถูก จนถึงปลายศตวรรษที่ 19 ได้มีผู้นำวิธีการทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่เข้ามาช่วยในการผลิตแทนวิธีเก่า และเมื่อผลิตเครื่องสำอางแต่ละชนิดจะมีเครื่องหมายการค้าชัดเจน และ มีกรรม วิธีในการผลิตที่แน่นอน ทำให้เครื่องสำอางที่ผลิตขึ้นมีคุณภาพ สามารถเพิ่มรายได้ให้กับผู้ผลิต ทำให้มีการเพิ่มการผลิต และพยายามปรับปรุงคุณภาพของเครื่องสำอางให้มีคุณภาพสูงขึ้น ต่อมาได้มีการนำความรู้ทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ เข้ามาปรับปรุงคุณภาพของเครื่องสำอาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิชาเคมี ได้มีส่วนเข้ามาช่วยในการปรับปรุงคุณภาพของผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางให้มีคุณภาพสูง ในการผลิตแต่ละครั้งต้องมีส่วนประกอบที่คงที่ ได้ผลิตภัณฑ์อย่างเดียวกัน มีหลักการเลือกใช้วัตถุดิบที่ได้มาตรฐานในการผลิต และมีการตรวจสอบคุณสมบัติ ตลอดจนการเก็บรักษาผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางในปี ค.ศ. 1895 ได้มีการเปิดสอนวิชาการเครื่องสำอาง ในเมืองชิคาโก มลรัฐอิลลินอยส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นครั้งแรก ทำให้นักศึกษาได้รู้จักวิธีการใช้เครื่องสำอางชนิดต่างๆ ในการรักษาผิวหนังและเส้นผม ต่อมาการศึกษาวิชานี้ได้แพร่หลายไปอย่างรวดเร็ว

คำจำกัดความของเครื่องสำอางคำจำกัดความของเครื่องสำอาง มีมากมายหลายแบบ ขึ้นอยู่กับผู้ให้ความหมายว่ามีความต้องการสื่อหรือมีวัตถุประสงค์อย่างไรโดยมีหลักการและพื้นฐานในการให้คำจำกัดความดังต่อไปนี้
1. Cosmetics Science and Technology โดย Edward Sagarin พิมพ์ครั้งที่ 1 หน้า 4 - Articles intended to be rubbed, pour, sprinkle, or sprayed on, introduced into, or otherwise applied to the human body or any part thereof for cleansing, beautifying promoting attractiveness, or altering the appearance, and- Articles intended for use as a component of such any article, except that the term shall not include soap.
2. หนังสือมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก. 152-2518) มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเครื่องสำอาง ได้ให้คำจำกัดความเครื่องสำอางว่า เครื่องสำอางหมายถึง :- ผลิตภัณฑ์สิ่งปรุงเพื่อใช้บนผิวหนังหรือส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายมนุษย์ โดยถู ทา พ่น หรือ โรย เป็นต้น เช่นในการทำความสะอาดป้องกัน แต่งเสริมเพื่อความงาม หรือเปลี่ยนแปลงรูปลักษณะ- สิ่งใดๆ ที่ใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์สิ่งปรุงที่กล่าวมาแล้วข้างต้น
3. หนังสือพิมพ์เภสัชกรรม สมัยสยาม ปีที่สิบห้า เล่มสาม พฤษภาคม ถึง มิถุนายน พ.ศ.2505 ได้ให้คำจำกัดความว่า เครื่องสำอาง หมายถึง ผลิตภัณฑ์ทุกอย่างที่มีความตั้งใจหรือจงใจผลิตขึ้นมาสำหรับใช้กับบุคคลใดโดยตรง เพื่อความมุ่งหมายในการทำความสะอาด หรือการทำให้เกิดความสวยงามโดยเฉพาะ ภายใต้กฎหมายควบคุมอาหาร ยา และเครื่องสำอางของสหรัฐอเมริกา ความหมายรวมไปถึง ยาและสารต่างๆ ที่ใช้ในการผลิตภัณฑ์เหล่านี้ด้วย ซึ่งจะต้องถูกควบคุมตามกฎหมาย และในด้านปฏิบัติการหรือเทคนิคต่างๆ ที่จะใช้ในการผลิตเครื่องสำอาง รวมทั้งวิธีรักษาและเครื่องมือเครื่องใช้สำหรับการทำความสะอาดร่างกายและการทำให้เกิดความสวยงามที่ใช้ในร้านเสริมสวยด้วย
4. พระราชบัญญัติ เครื่องสำอาง พ.ศ.2517 เครื่องสำอางหมายถึง1. วัตถุที่มุ่งหมายสำหรับใช้ ทา ถู นวด โรย พ่น หยอด ใส่ อบ หรือด้วยอื่นใด ต่อส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกายเพื่อความสะอาด ความสวยงาม หรือส่งเสริมให้เกิดความสวยงาม ตลอดจนเครื่องประทินผิวต่างๆ ด้วย2. วัตถุที่มุ่งหมายสำหรับใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตเครื่องสำอางโดยเฉพาะ หรือ3. วัตถุอื่นที่กำหนดโดยกฎกระทรวงให้เป็นเครื่องสำอาง

คุณลักษณะเครื่องสำอาง
ในการผลิตเครื่องสำอาง มีลักษณะการเตรียมหรือการผลิตเหมือนกับการเตรียมหรือการผสมยา แต่ในกรณีของการเตรียมเครื่องสำอางจะมีลักษณะที่เฉพาะเด่นชัดที่แตกต่างจากการผลิตยาอยู่ 3 ประการ คือ1. เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีกลิ่นหอมชวนดม2. มีลักษณะสวยงาม ทั้งลักษณะของผลิตภัณฑ์ รวมถึงการบรรจุหีบห่อ3. ใช้งานได้ง่าย สะดวกต่อการพกพาเครื่องสำอางโดยทั่วไป จะต้องบอกคุณลักษณะของเครื่องสำอางนั้นๆ ไว้ ตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) เช่น ส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ วิธีใช้ ข้อควรระวัง ภาชนะและการบรรจุ รวมถึงการทดสอบ การตรวจหาปริมาณ และการวิเคราะห์ต่างๆ

ประโยชน์ของเครื่องสำอาง
1. ช่วยตกแต่งให้ผิวดูเนียนและผุดผ่องขึ้น เช่น แป้งแต่งหน้า ดินสอเขียนคิ้ว ครีมต่างๆ
2. ช่วยทำความสะอาดรักษาอนามัยและสุขภาพผิวของปากและฟัน เช่น สบู่และยาสีฟัน
3. ช่วยกลบเกลื่อนให้แลดูเป็นธรรมชาติ เช่น กลบฝ้าและไฝต่างๆ
4. ช่วยตกแต่งทรงผมให้อยู่ทรง และสวยงามตามที่ต้องการ
5. ช่วยทำให้สบายผิว แก้ความอับชื้น เช่น แป้งฝุ่นโรยตัว
6. ทำให้จิตใจสดชื่น รู้สึกผ่อนคลาย เนื่องจากกลิ่นหอมของเครื่องสำอาง

ประเภทของเครื่องสำอางเครื่องสำอาง
สามารถแบ่งได้เป็นหลายประเภท แต่โดยทั่วไปมักจะแบ่งเป็นประเภทใหญ่ๆ ได้ 2 ประเภท คือ
1. เครื่องสำอางที่ไม่ได้ใช้แต่งสีของผิว เครื่องสำอางประเภทนี้ ใช้สำหรับการทำความสะอาดผิวหนัง หรือใช้เพื่อป้องกันผิวหนังไม่ให้เกิดอันตรายจาสิ่งแวดล้อม เครื่องสำอางประเภทนี้ได้แก่ สบู่ แชมพู ครีมล้างหน้า ครีมกันผิวแตก น้ำยาช่วยกระชับผิวให้ตึง เป็นต้น
2. เครื่องสำอางที่ใช้แต่งสีผิวเครื่องสำอางประเภทนี้ ใช้สำหรับการแต่งสีของผิวให้มีสีสดสวยขึ้นจากผิวธรรมชาติที่เป็นอยู่ เช่น แป้งแต่งผิวหน้า ลิปสติก รู้ช เป็นต้น

เครื่องสำอางที่พบในท้องตลาดอาจจะแบ่งออกเป็น 10 ประเภท ดังนี้

1. เครื่องสำอางสำหรับผิวหนัง ได้แก่a. ครีมทาผิวb. ผลิตภัณฑ์ขจัดสิวc. ผลิตภัณฑ์ขจัดสีผิวและขจัดฝ้าd. ผลิตภัณฑ์ระงับเหงื่อและขจัดกลิ่นตัวe. ผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดดf. ผลิตภัณฑ์ป้องกันแมลงกัดต่อย
2. เครื่องสำอางสำหรับผมและขน ได้แก่a. แชมพูและครีมนวดผมb. ผลิตภัณฑ์ตกแต่งผมc. ผลิตภัณฑ์สำหรับโกนหนวดและกำจัดขน
3. เครื่องสำอางสำหรับแต่งตาและคิ้ว
4. เครื่องสำอางสำหรับแต่งใบหน้าa. ผลิตภัณฑ์พอกและลอกหน้าb. ผลิตภัณฑ์กลบเกลื่อนc. ผลิตภัณฑ์รองพื้นแต่งหน้าd. แป้งผัดหน้าและแป้งโรยตัว
5. เครื่องสำอางสำหรับแต่งแก้ม
6. เครื่องสำอางสำหรับแต่งปาก
7. เครื่องสำอางสำหรับทำความสะอาดผิวปาก และฟันa. ครีมล้างหน้าและครีมล้างมือb. ยาสีฟันและน้ำยาบ้วนปาก
8. เครื่องสำอางสำหรับเล็บ
9. เครื่องสำอางสำหรับเด็ก
10. ผลิตภัณฑ์น้ำหอม